สนามข่าว 7 สี - มาที่ปม "เทวดา" แผลงฤทธิ์ ปิดปากหน่วยงาน หลังมีการสร้างกระแสปล่อยกันว่อน อ้าง "ดิไอคอนกรุ๊ป" หว่านเม็ดเงิน ซึ่งหลังเปิดเรื่องนี้ กระแสก็ยังไม่แผ่ว วานนี้ก็มีพยานปากสำคัญมาคอนเฟิร์มอีก จะล้มกระดานปิดเกม "ดิไอคอนกรุ๊ป" ได้เลยหรือไม่ ยังต้องติดตาม แต่ที่แน่ ๆ ขณะนี้ทรัพย์สินของ "บอสพอล" และทีมหนึ่งในนี้ มี "บอสกันต์" ถูกอายัดไว้โดย ปปง. แล้ว เรื่องว้าวุ่นทั้งหมดจะกระทบผู้เสียหายหรือไม่ ค่อย ๆ ไล่ไปทีละเรื่องทีละประเด็น
แฉ บอสพอล จ่ายเทวดาปิดตาหน่วยงาน
แค่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจฯ สายไหมต้องรอด เปิดหัวมา ก็แซ่บสะท้านกันเลย ไม่แน่ใจที่บอกใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ระดับสูงในรัฐบาล ตกลงจะสะเทือนไปถึงหรือไม่ ที่สำคัญมีการดูแลกันผ่านการจ่ายเงินสกุลเงินดิจิทัล
โดยข้อมูลนี้เปิดเผย หลัง "พยาน" ปากเอก ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกยุคก่อตั้งบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป มาให้ข้อมูลเบื้องลึก-เบื้องหลังการประกอบธุรกิจนี้ ก่อนเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลาง ที่สำคัญมีข้อมูลด้วยว่า เงินที่จ่ายให้เทวดาไป ก็ไปปิดปากได้ 3-4 หน่วยงาน
ส่วนสาเหตุที่ใช้เครื่องเซ่นไหว้เป็นสกุล USDT เพราะสกุลเงินนี้ เชื่อมโยงกับสกุลเงิน US Dollar มีความเสถียรค่อนข้างสูง และอย่างที่หลายคนรู้กัน คือการติดตามการโยกย้ายถ่ายโอนนั้น ค่อนข้างยาก
ซึ่งวิธีการเปลี่ยนเงินสด ไปเป็นเงินดิจิทัลสกุล USDT จะมีความเกี่ยวพันกับการฟอกเงินให้กับทุนจีนสีเทา เช่น ทุนจีนสีเทา ทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อได้เงินมาเป็นเงินสด ไม่สามารถหอบเงินข้ามประเทศได้ จึงใช้วิธีเปลี่ยนเงินสดดังกล่าวให้เป็นสกุลเงินดิจิทัล USDT จากนั้นก็เข้าไทย
"พ.ต.อ. ประทีป" ลั่นไม่ใช่เทวดาในคลิปเสียง
ทีนี้มาดูในมุมผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น เทวดาอารักษ์ประจำ สคบ. ที่แชร์กันว่อนในโซเชียลก่อนหน้านี้ โดยผู้ถูกกล่าวหาในคลิป หนึ่งในนี้ก็คือ พันตำรวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ซึ่งถูกโยงในคลิปเสียงสนทนาของ "บอสพอล" กับชายปริศนาถึง 2 คลิป เจ้าตัวก็ยืนยันไม่ใช่เทวดา ที่ผ่านมาการเติบโตในหน้าที่การงาน ก็มาจากความสามารถของตน ไม่มีใครจะมาล้วงลูกแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในหน่วยงาน ตามที่กล่าวอ้างกันในคลิป
"บอสพอล" ขู่ฟ้อง ! วอนสื่อฯ ลบคลิปเสียงปริศนา
มาดูในส่วนของ "บอสพอล" หรือนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ปมคลิปเสียงฉาว ก็ทำให้ถึงต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก อ่านแล้วจะบอกว่า "ขอ หรือ ขู่ดี" เมื่อใจความหลัก ๆ ของข้อความที่สื่อสาร อยากขอให้ลบคลิปสนทนากับนักการเมือง อักษรย่อ ส. ออก เพราะทำให้เสื่อมเสีย หลัง บอสพอล ยืนยันไม่เคยให้เงินใด ๆ ที่ติดต่อก็แค่จะให้มาเป็นที่ปรึกษา แต่พอเวลาไม่ตรงกัน จึงไม่ได้ร่วมงานกัน พร้อมขีดเส้นให้ลบคลิปออกจากทุกแพลตฟอร์ม ภายในวันที่ 18 ตุลาคม ก่อนเวลา 23.59 น. ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่หลังจากโพสต์นี้ผ่านไปราว ๆ 1 ชั่วโมง "บอสพอล" ก็ลบโพสต์นี้ทิ้งไป
"บิ๊กเต่า" จ่อดำเนินคดีเทวดา รับสินบนดิไอคอนกรุ๊ป
ในส่วนของการจี้เอาผิดเรื่องนี้ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็บอกว่า ขณะนี้ส่งคลิปเสียงดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียด และให้ฝ่ายสืบสวน บก.ปปป. ทำการรวบรวมข้อมูล และตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของคลิปเสียง เพราะอาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย หากทราบตัวเจ้าของคลิปเสียง ก็จะเชิญมาให้ปากคำ
แต่เบื้องต้นขอไม่ยืนยันว่าใครเป็นเจ้าของคลิปเสียง และยังบอกไม่ได้ว่า คลิปเสียงนี้จะใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ต้องรอผลจากพิสูจน์หลักฐานก่อนว่า เสียงมนุษย์คุยจริง ๆ หรือเสียงสังเคราะห์ AI และตัดต่อเสียงหรือไม่ เพื่อเอาผิดต่อไป
นายกฯ สั่งสอบให้เร็ว ชี้แจงประชาชนให้ทราบ
นายกรัฐมนตรี ที่ให้ สตช. เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งความมากขึ้น และให้ สคบ. เร่งกำหนดมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ให้ความรู้กับประชาชนว่าขายตรงมีอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำแบบนี้อีก
ขณะเดียวกัน สั่งให้องค์การอาหารและยา หรือ อย. เร่งตรวจสอบบังคับกฎหมาย ป้องกันไม่ให้สินค้าที่ไม่ผ่านการรับรอง นำมาขายออนไลน์ และให้กระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ส่วนปมเจ้าหน้าที่รับสินบน ก็หารือกับ ผบ.ตร. แล้ว โดยจะมีการสอบสวนต่อไป
ตั้งคณะกรรมการสอบ คดีดิไอคอนกรุ๊ป
แต่ที่แน่นอนแล้ว วันนี้ (16 ต.ค.) จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจากบุคคลภายนอก ซึ่ง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะกำกับ สคบ. จะลงนามแต่งตั้งกรรมการทั้ง 7 คน มาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อทำการแก้ไขปัญหากรณีดิไอคอนกรุ๊ปต่อไป และช่วง 10.00 น.วันนี้ สคบ. จะเรียก "บิ๊กบอส" และผู้บริหารเข้าพบ เพื่อชี้แจงเรื่องทั้งหมด ก่อนจะนำผลการตรวจสอบส่งตำรวจต่อไป
"อัจฉริยะ" ยื่นเพิกถอนใบอนุญาตตลาดแบบตรง ดิไอคอนกรุ๊ป
ด้าน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็บุกไปที่ สคบ. เพื่อยื่นหลักฐานต่อ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้เวลา 2 วัน ในการถอดถอนใบอนุญาตตลาดแบบตรงของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จดทะเบียนเมื่อปี 2562 บริษัทแห่งนี้มีแผนการตลาด โดยอ้างว่าขายสินค้าให้กับสมาชิกที่เป็นตัวแทนจำหน่าย ทั้งที่จริงแล้วเป็นลักษณะชักชวนให้มีการหาเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้า
หาก สคบ. ยังเพิกเฉย ก็จะไปแจ้งความกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ ปปป. เพื่อเอาผิดเจ้าหน้าที่ สคบ. ตามมาตรา 157
ดีเอสไอ พร้อมรับ ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นคดีพิเศษ
ขณะที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ก็ประชุมเรื่องนี้ โดยพันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ ก็เผยว่าเตรียมส่งหนังสือถึง บก.ปคบ. เพื่อขอรับทราบประเด็นผลการสอบสวนคดีนี้แล้ว
โดยจะขอเอาพฤติการณ์ทางคดี พยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงในคดี สิ่งที่ตำรวจดำเนินการ มาพิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยระหว่างนี้ กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ก็จะไล่เช็กงบดุลบริษัทย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน
พร้อมยอมรับด้วยว่า พบความผิดปกติหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้-รายจ่าย และงบดุลของบริษัท แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล
และจริง ๆ อาจไม่ต้องรอข้อมูลอื่นนาน เพราะวันนี้ "ทนายตััม" และเพจฯ สายไหมต้องรอด จะพาพยานสำคัญที่รู้เห็นการจ่ายสินบน ให้แก่เจ้าหน้าที่ DSI ระดับสูง เข้าพบ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ข้อมูลลับที่เชื่อว่าจะสั่นสะเทือนวงการยุติธรรม
อย.ตรวจสอบการโฆษณาเกินจริง-ลงโทษแล้ว
ส่วนประเด็นผลิตภัณฑ์ของดิไอคอนกรุ๊ป ที่มีข้อกังขา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วเมื่อปี 2562 และมีหนังสือส่งต่อไปถึง สคบ.ว่า มีการฝ่าฝืนมาตรา 40 และ 41 ในเรื่องการโฆษณาและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง รวม 5 คดี และในส่วนการโฆษณา ฝ่าฝืน พ.ร.บ.อาหารและยา พ.ศ.2565 อีก 6 คดี ซึ่งดำเนินการโทษปรับทั้งหมดแล้ว ส่วนของโทษอาญามีอยู่ 1 คดี