อัจฉริยะ ยิ้มออก ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่นฯ ผู้การจ๋อ-พงส.คดีแตงโม ชี้ ติชมด้วยความเป็นธรรม

อัจฉริยะ ยิ้มออก ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่นฯ ผู้การจ๋อ-พงส.คดีแตงโม ชี้ ติชมด้วยความเป็นธรรม

View icon 103
วันที่ 31 ต.ค. 2567 | 12.57 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
อัจฉริยะ เฮ! ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่นฯ ผู้การจ๋อ-พงส.คดีแตงโม ชี้ ติชมด้วยความเป็นธรรม เตรียมฟ้องกลับ เสียค่าเสียหาย 27 ล้านบาท 

วันนี้ (31 ต.ค.67) ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ 951/2566 ที่ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ หรือ “ผู้การจ๋อ” ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ยื่นฟ้อง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯ ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญา ตาม ป.อาญา มาตรา 326, 329

พิเคราะห์การนำสืบพยาน หลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า คณะพนักงานสืบสวน ได้ทำการขยายผลขบวนการค้ายาเสพติด จนสามารถจับกุมนายทุนมินลัตได้ และจากการสอบสวนนายทุนมินลัต ให้การซัดทอดไปถึงนายอุปกิต ปาจรียางกูร สว.ขณะนั้น ว่าเปิดบริษัทโรงงานผลิตไฟฟ้าในไทยส่งขายที่เมียนมา ทำให้พยานเชื่อว่า มีการทำการฟอกเงินที่ได้มาจากยาเสพติด คณะพนักงานสอบสวนจึงรายงานผู้บังคับบัญชา จนรวบรวมพยานหลักฐานไปขอศาลออกหมายจับ นายอุปกิต และศาลอาญาได้ออกหมายจับไว้ แต่ชุดสืบสวนยังไม่ทันจับกุม ศาลอาญาได้เพิกถอนหมายจับเปลี่ยนเป็นหมายเรียกแทน

ขณะที่โจทก์ มีความเคารพนับถือ พล.อ.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่เป็น ผบ.ตร.ในขณะนั้นดั่งบิดา และกำลังจะเกษียณอายุในเดือนก.ย. จึงไม่อยากให้เกิดคดีความด่างพร้อยในชีวิตข้าราชการของ พล.อ.อ.สุวัฒน์ จึงได้เรียกชุดคณะทำงาน และระบุว่า คดีนี้ไม่ต้องเร่งรีบ รอให้ นายอุปกิต พ้นจาก สว.ก่อน แต่ชุดทำงานยังสืบสวนและทำคดีต่อ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่พอใจ ต่อมาเมื่อถึงวาระการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2565 ปรากฎว่า ชุดคณะทำงานคดี สว.อุปกิต ถูกย้ายออกนอกหน่วย โดยที่เจ้าตัวไม่สมัครใจ จึงมาร้องเรียนกับจำเลย จากนั้น จำเลย ไปแจ้งความที่ บก.ปปป. ว่า โจทก์ใช้อำนาจโดยมิชอบและแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ โจทก์ อ้างพยานเป็นเจ้าหน้าที่ไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่มีความเห็นว่า โจทก์ไม่มีความผิด ป.ป.ช. จึงไม่รับเรื่อง แต่ศาลเห็นว่า จะรับฟังข้อมูลจาก ป.ป.ช. อย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิเคราะห์ถึงพยานหลักฐานและพฤติกรรมของโจทก์ด้วย โดยคณะกรรมการสอบวินัย จเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานของโจทก์ มีความเห็นว่า โจทก์เข้าไปก้าวก่ายการแต่งตั้งโยกย้าย โดยอ้างว่า ชุดทำคดีไม่มีผลงาน ทั้งที่ช่วงปี 2561-2566 ชุดสืบสวนดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 100 ราย ยึดทรัพย์ได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท และยึดยาเสพติดได้จำนวนมาก

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นอย่างมาก การที่ชุดสืบสวนขยายผลไปจนพบผู้ต้องหาเพิ่มเป็นการทำหน้าที่โดยสุจริต จนรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งให้ บช.ปส. เป็นการทุ่มเททำงานเพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นตำรวจที่ดี อีกทั้งจำเลยที่ทำองค์กรเพื่อปกป้องคนดี เชื่อโดยสุจริตใจว่า โจทก์แต่งตั้งโยกย้ายชุดทำงานออกนอกหน่วยโดยไม่สมัครใจ เพราะไม่ทำตามคำสั่งเรื่องคดีนายอุปกิต การกระทำของจำเลยเป็นการทำโดยสุจริต  ติชมด้วยความเป็นธรรม จึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายอัจฉริยะ กล่าวว่า คดีที่พล.ต.ต.ธีรเดช ยื่นฟ้องตนเองนั้น ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และตามคำพิพากษาศาลก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้ว่ามีการแทรกแซงการทำหน้าที่ของชุดสอบสวน และมีการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ดังนั้น ที่มาฟ้องตนเองว่าแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้น ศาลเห็นว่าการทำหน้าที่ของตนเองนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

ส่วนคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 จังหวัดนนทบุรี จำนวน 27 คน แจ้งความหมิ่นประมาทนั้น ศาลอาญาก็มีคำพิพากษาว่าเป็นการใช้สิทธิ์โดยสุจริตและเป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจ 4-5 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ศาลเห็นว่าบาดแผลตามร่างกายแตงโม ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ที่เป็นหัวใจสำคัญของคดีแตงโม และเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าบาดแผลของแตงโม ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ประเด็นที่สอง ขณะเกิดเหตุแตงโมไม่ได้ไปปัสสาวะที่บริเวณท้ายเรือ ขณะที่มีการแก้ไขจีพีเอส เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ต้องหาทั้งหมด ทั้งนี้ ประมาณ 10 วันก็จะมีการเผยแพร่คำพิพากษาได้

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณองค์คณะผู้พิพากษา ที่ให้ความเป็นธรรม ตนเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมของศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับตนมาโดยตลอด และวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าตนเองทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ และจะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้าราชการทุกหน่วยงานต่อไป ซึ่งเมื่อช่วงเช้าก่อนเข้าฟังคำพิพากษาตนยืนยันว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะคดี ก็จะต้องสู้คดีกันต่อในชั้นอุทธรณ์และฎีกา แต่อย่างน้อยคดีการเสียชีวิตของแตงโม ที่มีคนทั่วประเทศด่าตน ก็อยากจะบอกคนไทยและทั่วโลกว่า วันนี้น้องแตงโมได้รับความเป็นธรรมแล้ว คือน้องแตงโมไม่ได้ตกท้ายเรือ ไม่ได้เกิดบาดแผลจากใบพัดเรือ และมีตำรวจเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องหาบนเรือ วันนี้ตนดีใจที่สามารถทำให้ศาลมีคำพิพากษาว่า คดีแตงโมไม่ได้เกิดจากความประมาท ทำให้เชื่อว่าอาจจะเกิดจากการฆาตกรรมก็ได้

หลังจากนี้ตนเองจะฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจนนทบุรีที่แจ้งความตน ในข้อหาแจ้งความเท็จด้วยและเรียกค่าเสียหาย 27 ล้านบาท ทั้งนี้ ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานนั้น อัยการก็มีคำสั่งถึงที่สุดไม่ฟ้องตน ดังนั้น ตนจะต้องเอากลับ 10 เท่า นอกจากนี้ ยังมีอีก 4-5 คดี ในเรื่องเดียวกัน เห็นว่าเมื่อสำนวนคดีแรก ศาลพิพากษายกฟ้องแล้วคดีอื่นก็น่าจะเป็นไปแนวทางเดียวกัน

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวสั้น ๆ ว่า ในวันนี้เป็นเพียงศาลชั้นต้น ซึ่งคงต้องให้ทางทนายความ ที่จะดูข้อกฎหมายข้อเท็จจริงในการยื่นอุทธรณ์ต่อไป ตนก็ยังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แต่ในความเชื่อของตน จำเลยจะต้องได้รับผลจากสิ่งที่กระทำในอนาคต เพราะยังมีข้อเท็จจริงและความเห็นบางอย่างที่ยังไม่ตรงกัน

ด้านทนายความของ พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดตอนนี้อยู่ในสำนวนของศาลแล้ว และเรามีความเชื่อมั่นในพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานแวดล้อมที่ปรากฏ ในขั้นต่อไปเราก็จะขอคัดถ่ายเอกสารคำพิพากษา ยืนยันว่ามั่นใจในชุดพยานหลักฐานเก่า ที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง