ชาวบ้านโดนกันหลายคน ยื่นกู้ธนาคารหลักแสน กลายเป็นหนี้หลักล้าน ขอความช่วยเหลือจากอัยการคุ้มครองสิทธิฯ เจ้าหน้าที่ธนาคาร ย้ายไปสาขาอื่น ชาวบ้านก็เจอปัญหาคล้ายกัน
กลุ่มชาวบ้านในตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด นำโดยนายสุเชิด ชัยชาญ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 เดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี พ.ต.ท.บุณถิ่น วันภักดี อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นตัวแทนรับเรื่อง โดยชาวบ้านแจ้งว่าได้ไปยื่นเรื่องขอกู้เงินกับ ธ.ก.ส.สาขาเมืองบัว คนละไม่กี่แสน แต่กลับเป็นหนี้รายละ 1- 3 ล้านบาท และยังมีชาวบ้านอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน
นายพัลลภ เกิดมี อายุ 45 ปี บอกว่าที่มาร้องทุกข์ในวันนี้ เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ เนื่องจากเคยไปยื่นกู้เงินจาก ธ.ก.ส. สาขาเมืองบัว จำนวน 550,000 บาท ช่วงเดือน พ.ย. 2564 ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ธนาคารสาวรายหนึ่ง พาไปดำเนินการและให้เซ็นเอกสาร มารู้ตัวอีกที ปี 2565 ธนาคารมีใบแจ้งหนี้ 1 ล้านบาท ก็ตกใจมากว่าเป็นไปได้อย่างไร จึงเข้าไปติดต่อสอบถามที่ธนาคาร ตอนแรกธนาคารบอกจะแก้ไขและเยียวยาให้
ต่อมาวันที่ 10 ต.ค.67 ธนาคารมีหนังสือแจ้งให้ไปรับฟังการประชุมชี้แจงกรณีพนักงานพัฒนาธุรกิจ 7 กระทำผิดวินัยของธนาคาร ทุจริตต่อหน้าที่และจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของธนาคาร เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ลูกค้า และธนาคารอย่างร้ายแรง ซึ่งผลการพิจารณา ธนาคารไม่รับผิดชอบให้ไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าวเอง จึงคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ด้านนายทองมี พิมหิน ชาวบ้านอีกคนบอกว่า เดิมจะไปติดต่อธนาคาร เพื่อนำที่ดินไปจำนอง กู้เงินมาทำโคกหนองนา และซื้อโคมาเลี้ยง แต่เจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าว แนะนำและบอกขั้นตอนการยื่นขอกู้ในเอกสาร ซึ่งตนตั้งใจจะยื่นกู้ 500,000 บาท จึงได้เซ็นซื่อในเอกสารตามคำแนะนำ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมาบอกว่าจะมีเงินเข้าบัญชี 1 ล้านบาท และพาตนไปเบิกเงินที่ สาขาเกษตรวิสัย ตอนนั้นที่ผิดสังเกตเพราะเจ้าหน้าที่ ไม่เบิกเงินในสาขาเปิดบัญชีไว้ จากนั้นมีเงินเข้าบัญชีอีก ยอดที่ 2 จำนวน 4 แสนบาท ยอดที่ 3 จำนวน 3 แสนบาท รวมมีเงินผ่านในบัญชี 1.7 ล้านบาท แต่ในใบแจ้งหนี้บอกว่าตนเป็นหนี้ 3 ล้านเศษ
นางบัวไข วงษ์ม่วย ชาวบ้านหนองเบญ แจ้งว่า ตนตั้งใจจะเอาที่ดินไปจำนองกับธนาคาร ว่า จะกู้จากธนาคารมา 2 แสนบาท เพื่อต่อเติมบ้าน เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวบอกว่า ที่ดินที่มีอยู่เพียง 2 งานมันไม่สามารถจะกู้ได้ขนาดนั้น เขาก็เลยแนะนำว่า จะมีโครงการสมทบทุนซื้อรถแทร็กเตอร์ล้อยาง ถ้าเข้าร่วมจะได้วงเงินตามที่ต้องการ จึงหลงเชื่อกรอกเอกสาร เพียงข้ามวัน ก็มีเงินเข้ามาในบัญชี 1.1 ล้านบาท เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวบอกว่าจะพาไปเบิกที่ ธ.ก.ส.สาขาเกษตรวิสัย ตนจึงได้ไปเบิกครั้งแรก จำนวน 927,000 บาท และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว
อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิฯ เบื้องต้น ทราบจากรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.รายดังกล่าว ย้ายไปที่ ธ.ก.ส.สาขาโพนทอง และมีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลพรมสวรรค์ อำเภอโพนทอง ที่ได้รับผลกระทบในลักษณะคล้ายกัน กว่า 20 ราย เคยรวมตัวกันเรียกร้องขอความช่วยเหลือเยียวยาจาก ธ.ก.ส.มาแล้ว
จากนี้จะรวบรวมข้อมูลไว้พิจารณาว่า การที่ประชาชนไปทำธุรกรรมกับทางธนาคาร บางครั้งเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส โดยปกติเจ้าหน้าที่ธนาคารควรให้บริการและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ตรงไปตรงมา เรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลของการทำงาน จะได้แจ้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันเข้าให้ข้อมูล และจะประสานธนาคาร ให้มาตอบคำถามชาวบ้านให้ชัดเจนอีกครั้งว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร หากเรื่องไม่จบ ก็จะดำเนินการตามกฏหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชน