เรืองไกร ร้อง สอบแพทองธาร-มาริษ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

เรืองไกร ร้อง สอบแพทองธาร-มาริษ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

View icon 30
วันที่ 19 พ.ย. 2567 | 12.06 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เรืองไกร ร้อง กกต. ส่งศาล รธน. วินิจฉัย ปม! เงื่อนเวลา มาริษ ลาออก กก. - โอนหุ้น 2 บริษัทหลังเป็นรมต.? ส่งผลให้ แพทองธารและ มาริษ ต้องสิ้นสุดความเป็น รมต. หรือไม่

วันนี้ ( 19 พ.ย. 67) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่องขอให้ กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือไม่ หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่ กรณี จะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) (5) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) (8) หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า คำร้องนี้ได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ของสำนักข่าวอิศราซึ่งมีการนำสำเนากรมพัฒนาธุรกอิจการค้ามาเป็นหลักฐานประกอบข่าวด้วย กรณีจึงมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะขอให้ กกต. ดำเนินการต่อไป เป็นข้อ ๆ ดังนี้
             ข้อ 1. ตามหนังสือที่ลต 0020/16384 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ซึ่งข้าฯ ได้ใปถ้อยคำเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 14.30 ที่ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงาน กกต. ดังความควรแจ้งแล้วนั้น
             ข้อ 2. ในการให้ถ้อยคำวันดังกล่าวมีกรณีการตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงเป็นกรรมการ บริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ภายหลังจากที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าข่ายอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 187 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่เฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (5) หรือไม่ รวมอยู่ด้วย
             ข้อ 3. หลังจากให้ถ้อยคำต่อกรณีดังกล่าวแล้ว ต่อมาวันที่ 14 พ.ย. 2567 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา ลงข่าวหัวข้อ ขมวดปม ‘มาริษ’ แจ้งลาออก กก. 2 บ. 29 เม.ย. ไฉน!เพิ่งยื่นจดทะเบียน-ห่างกัน 3 เดือน ? โดยมีรายละเอียดเนื้อข่าวปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2. ซึ่ง กกต. ควรถือเป็นความปรากฏที่เพียงพอเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนวินิจฉัยได้
             ข้อ 4. ต่อมาวันที่ 16 พ.ย. 2567 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา ลงข่าวหัวข้อ INFO: ไทม์ไลน์-เงื่อนปม!‘มาริษ เสงี่ยมพงษ์’รมว.ต่างประเทศ ลาออก กก. - โอนหุ้น 2 บริษัท โดยมีรายละเอียดเนื้อข่าวปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2. ซึ่ง กกต. ควรถือเป็นความปรากฏที่เพียงพอเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนวินิจฉัยได้
             ข้อ 5. จากข่าวทั้งสองซึ่งมีรายละเอียดเป็นสำเนาเอกสารที่ได้คัดมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารวมอยู่ด้วย รวมทั้งข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ กรณี จึงควรถือเป็นพยานหลักฐานพียงพอที่ปรากฏต่อ กกต. แล้ว และเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์  เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่มีหลักฐานปรากฏชัดอยู่ในกรมพัฒนาธุรกิจการค้าซึ่งทางสำนักข่าวอิศราได้นำมาเผยแพร่ไว้แล้วดังรายละเอียดที่ปรากฏในสิ่งที่ส่งมาด้วย 1. และ 2. อันอาจแสดงให้เห็นได้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าการแต่งตั้งนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์  เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4 (5) (8)  
              ข้อ 6. กรณีจึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวิเพื่อไต่สวนนิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือไม่ หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่ กรณี จะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) (5) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) (8) หรือไม่
              ข้อ 7. อนึ่ง กรณีนี้ควรถือว่ามีพยานหลักฐานจากสำนักข่าวอิศราที่เพียงพอเพื่อนำไปสู่การเรียกพยานหลักฐานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาประกอบการพิจารณาได้ว่า โดยไม่ต้องเชิญข้าฯไปให้ถ้อยคำอีก ทั้งนี้เพื่อที่ กกต. จะได้ลงมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญทำการไต่สวนได้โดยเร็ว และหวังว่า กกต. จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและไม่ชักช้า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง