แม่ผู้ตาย ร่ำไห้ ขอบคุณศาลให้ความยุติธรรม ส่วน แอมไซยาไนด์ ไม่มีท่าทีสลด

แม่ผู้ตาย ร่ำไห้ ขอบคุณศาลให้ความยุติธรรม ส่วน แอมไซยาไนด์ ไม่มีท่าทีสลด

View icon 267
วันที่ 20 พ.ย. 2567 | 14.47 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ศาลสั่งใส่กุญแจมือ แอมไซยาไนด์ ก่อนอ่านคำพิพากษากว่า 4 ชั่วโมง ด้านแม่ผู้ตาย ร่ำไห้ ขอบคุณศาลให้ความยุติธรรม ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่มีท่าทีสลด  แม้ศาลสั่งประหารชีวิต

วันนี้ (20 พ.ย67) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และ มารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ หรือแอม ไซยาไนด์ จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 3 ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน

โดยศาลฯ ใช้ผู้พิพากษาจำนวน 4 คน และใช้เวลาในการอ่านนานกว่า 3 ชั่วโมง ก่อนจะพิเคราะห์จากพยานหลักฐานว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค.63 ถึง 5 พ.ค.66 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก

ส่วนในปี 64-65 พบว่าจำเลยที่ 1 เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก ดังนั้น จึงมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว  ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล และพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ

ส่วนการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่ 1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือโทรติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์

จำเลยที่ 2 มีประเด็นนำหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี โดยส่งคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น

จากพยานและหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่ง โจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควร ชำระให้โจทก์ร่วม เป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท

ศาลพิพากษา ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานช่วยไม่ให้ผู้กระทำผิดรับโทษ, ซ่อนเร้นหลักฐาน จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน

สำหรับบรรยากาศภายในห้องพิพากษา เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เบิกตัว นางสรารัตน์มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉย สวมแว่นตา สวมหน้ากากอนามัยสีน้ำเงิน ร่างกายซูบผอมลง และตลอดการฟังคำพิพากษา นางสรารัตน์หันมาคุยกับ ทนายพัช ตลอด โดยไม่หันไปทางอดีตสามี จำเลยที่ 2 เลย

ขณะที่ทนายพัช จำเลยที่ 3 และ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 สีหน้าเรียบเฉยตลอดการฟังคำพิพากษา และทันทีที่ได้ยินคำพิพากษา จำเลยทั้ง 3 คน ไม่มีท่าทีสลดหรือแสดงอาการเสียใจ และมีบางจังหวะที่จำเลยทั้ง 3 หันมาคุยกันแล้วหัวเราะออกมา ส่วนมารดาและครอบครัวของผู้เสียชีวิต หลังฟังคำพิพากษาต่างก็ร้องไห้โฮ กอดกันด้วยความดีใจและโผเข้ากอดกัน

ทั้งนี้ ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้ใส่กุญเเจมือจำเลยทั้งสามราย และยืนฟังคำพิพากษาตลอดเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ซึ่งโดยปกติหากมีการอ่านคำพิพากษานาน ศาลจะอนุญาตให้นั่งฟังได้และปกติหน้าบัลลังก์ไม่ต้องใส่กุญแจมือ

ภายหลังมีคำพิพากษา นางพิน แม่ของน.ส.ศิริพร เปิดใจพร้อมน้ำตา กล่าวขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม และอยากจะบอกกับลูกสาวว่า “ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ขอให้นอนหลับให้สบาย ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง”

นอกจากนี้ นางพิน ยังบอกอีกว่า ทันทีที่ได้เจอหน้า นางสรารัตน์ หรือแอม ไซยาไนด์ ในห้องพิจารณาคดี ด้วยความที่ตนยังรู้สึกโกรธแค้นไม่อยากจะมองหน้า แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาจำเลยที่ 1 ก็ยังดูปกติ ไม่มีท่าทีสลด ขนาดศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตก็ยังดูเป็นปกติ

ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย ซึ่งสามารถนำคำพิพากษาในคดีนี้เป็นแนวทางในการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับนางสรารัตน์และมีการเสียชีวิตอีกด้วย ส่วนคดีอื่นที่เกี่ยวกับนางสรารัตน์ พนักงานอัยการจะนำสำนวนอีก 14 คดี ของ แอม ไซยาไนด์ มามอบให้กับศาลในวันที่ 26 พ.ย.ที่จะถึงนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง