ศาลอาญา อนุญาตปล่อยชั่วคราว พี่เมียทนายตั้ม ตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ หลังตำรวจนำตัวฝากขังคดีสมคบฟอกเงินฉ้อโก้งเจ๊อ้อย 39 ล้านบาท
วันนี้ (27 พ.ย.67) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ในความผิดฐาน "ร่วมกันกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" ในกรณีสมคบฟอกเงินฉ้อโก้ง 39 ล้านบาท มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน
เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้ว หากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบสวนพยานอีก 10 ปาก พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม/ตรวจค้น รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ กรณีผู้ต้องหาขอให้ปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน 1.เนื่องจากคดีที่ผู้ต้องหา ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนี้ มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10 ปี
2.ผู้ต้องหามีการกระทำต่อทรัพย์สินเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงผู้เสียหาย จำนวนสูงถึง 39 ล้านบาท ในลักษณะเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปอีก โดยมีเจตนาเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อให้ยากต่อการสอบสวนและติดตามทรัพย์สินนั้น
3.ก่อนที่ผู้ต้องหาจะถูกจับกุมตัว มีการเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ตามคำสั่งของนายษิทรา เจตนาเพื่อให้ยากต่อการติดตามตัวและเป็นการทำลายหลักฐานการติดต่อ รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่มีอยู่ในโทรศัพท์
4.ผู้ต้องหาเคยให้การในฐานะพยาน อ้างถิ่นที่อยู่ว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.56 เวลา 17.00 น.(วันเกิดเหตุ) ผู้ต้องหาได้ไปรับบุตรของนายษิทราที่โรงเรียน โดยมีการนำภาพถ่ายสถานที่จากโทรศัพท์มือถือถือของบุตรนายษิทรามาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบคำให้การ แต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ได้ไปรับบุตรของนายษิทราตามวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
5.จากการตรวจค้นบ้านพักของนายษิทรา ที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ด้วย พบมีร่องรอยการขนย้ายทรัพย์สินออกจากตู้นิรภัย ซึ่งบุคคลที่รู้รหัสและสามารถเปิดตู้นิรภัยดังกล่าวได้มีเพียงนายษิทรา, น.ส.ปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยาของนายษิทรา) และผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่าผู้ต้องหานี้มีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินต่าง ๆ ออกไปจากตู้นิรภัยด้วย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สิน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นอกจากนี้ ท้ายคำร้องผู้เสียหายขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายในคดีพยานสำคัญในคดี
ต่อมาในช่วงเย็น ภายหลังศาลรับฝากขัง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างฝากขัง ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล
ทั้งนี้ ภายหลังได้รับการปล่อยชั่วคราว น.ส.ปิณฑิรา เดินทางกลับ โดยไม่ได้ปรากฎตัวต่อสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่ที่ศาลอาญา