น้ำท่วมภาคใต้ คนท้องใกล้คลอดออกจากบ้านไม่ได้ เสี่ยงมดลูกปริแตก รถสิบล้อรีเฟอร์ส่งถึง รพ. ช่วยผ่าคลอดปลอดภัยทั้ง 2 ชีวิต หมอสุภัทรเผยคืนนี้ต้องลุ้นกันต่อ เกือบทุก รพ. ในชายแดนใต้ คงมีชะตากรรมใกล้เคียงกัน
น้ำท่วมภาคใต้ วันนี้ (28 พ.ย.67) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงปฏิบัติการสิบล้อเฉพาะกิจ เนื่องจากเช้าวันนี้ น้ำท่วมหนัก คนไข้อายุ 27 ปี เจ็บท้องคลอดตั้งแต่คืนวานนี้ (27 พ.ย.67) แต่ออกมาโรงพยาบาลไม่ได้ รอกระทั่งรุ่งเช้าจึงออกจากบ้านด้วยเรือ การเดินทางมาอย่างทุลักทุเล เพราะต้องมาต่อรถนำส่งโรงพยาบาล ถึงโรงพยาบาลสะบ้าย้อย เวลา 09.00 น.
หมอสุภัทร บอกว่า คนไข้คนนี้ตั้งท้องเป็นครั้งที่ 2 โดยท้องแรกมีประวัติผ่าคลอดมาก่อน เมื่อใกล้คลอดจึงมีการบีบตัวของมดลูก จะคลอดแน่ ๆ แล้ว ปากมดลูกเปิด 1 ซม. ถุงน้ำคร่ำยังอยู่ ตามทฤษฎีต้องส่งต่อไปผ่าท้องคลอด เพราะหากคลอดเอง จะมีความเสี่ยงมดลูกปริแตกได้ตรงรอยผ่าตัดเดิม ถ้ามดลูกแตกโอกาสเสียชีวิตนั้นสูงลิ่ว แต่ฝนตก เส้นทางถูกตัดขาด รถพยาบาลไปส่งต่อไม่ได้เลย วิกฤตมาก ๆ
โรงพยาบาลจึงประสานกับทีมทหาร ก็ไม่สามารถเอารถทหารข้ามจุดน้ำท่วมที่กระแสเชี่ยว ระหว่าง อ.สะบ้าย้อย - อ.เทพา มารับผู้ป่วยได้ ทางทีมแพทย์สะบ้าย้อย สงขลา และนาทวี ได้ปรึกษากัน เมื่อรีเฟอร์คนไข้ไม่ได้ ก็คงต้องเสี่ยงคลอดที่ รพ.สะบ้าย้อย ทีมโรงพยาบาลได้ออกรถไปดูน้ำ ว่าสามารถเดินทางไปด้วยเส้นทางไหนได้บ้าง โดยเฉพาะเส้นทางลัดเลาะบนควน ระหว่าง สะบ้าย้อย-คูหา-ห้วยเต่า-วังใหญ่ได้ แต่ไกลกว่านั้นดูจะลำบาก น่าจะติดน้ำท่วม ทางด้านนายอำเภอ นายมงคล สินยัง ก็ยังไม่ละความพยายาม ประสานรถสิบล้อจากบริษัทรุ่งทิวาไบโอแมส มาให้
รถสิบล้อ พาคนไข้และญาติขึ้นสิบล้อ นั่งนอนด้านหลังที่นั่งคนขับ ซึ่งปกติเป็นที่นอนของโชเฟอร์สิบล้อ มีหมอและพยาบาลไปด้วย พร้อมคนขับรถ ที่ชำนาญทางของโรงพยาบาล เพื่อบอกทางและประเมินเส้นทางร่วมกับคนขับสิบล้อ ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง รถสิบล้อรีเฟอร์ก็ถึงโรงพยาบาลสมเด็จฯ นาทวี หมอสูติที่ รพ.นาทวี พาคนไข้เข้าห้องผ่าตัด คลอดอย่างปลอดภัย ปฏิบัติการสิบล้อเฉพาะกิจสำเร็จ รอดไปอีก 2 ชีวิตทั้งแม่และเด็ก
หมอสุภัทร บอกด้วยว่า ที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย น้ำไม่ท่วม แต่ถนนเชื่อมต่างอำเภอเส้นทางถูกตัดขาดหมด กลางวันยังพอนำรถสิบล้อไปได้ ถ้ากลางคืนนั้นหมดสิทธิ์ มองถนนไม่เห็น รถสิบล้อก็รีเฟอร์ไม่ได้ คืนนี้จึงต้องลุ้นกันต่อไป เกือบทุกโรงพยาบาลในชายแดนใต้ คงมีชะตากรรมใกล้เคียงกัน
