สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - ตำรวจ บก.จร. ทั้ง 7 นาย ถูกปล่อยตัวไปก่อน เพราะการดำเนินคดีเพิ่งเริ่มต้น ยังสอบปากคำผู้เสียหายไม่แล้วเสร็จ แต่อีกคดีคู่ขนาน ต้นเหตุตัวจริงที่ทำให้เกิดเรื่อง กำลังจะเข้ารับทราบข้อหาวันนี้
อย่างที่นำเสนอข่าวไป ว่าคดีนี้ชนวนเหตุมาจากรถยนต์คันหนึ่ง ขับฝ่าด่านตรวจไป จากนั้นตำรวจ บก.จร. 7 นาย ที่ผู้เสียหายรู้ชื่อทั้งหมด จึงตามออกจากด่านไปสกัดจับกุม แต่เพราะรถของผู้เสียหายดันมีสีเดียว รุ่นเดียวกับรถคันที่ก่อเรื่อง ตำรวจกลุ่มนี้ที่ตามออกจากด่านไปสกัดจับเลยเข้าใจผิด และใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการจับกุม
อันนี้คือข้อเท็จจริงที่ตรงกัน ระหว่างตำรวจและผู้เสียหาย ส่วนในรายละเอียด เช่นว่าวันนั้นคุยกันอย่างไร ใครทำอะไร ทำไมต้องทำขนาดนั้น โกรธอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า ก็จะเป็นขั้นตอนต่อไปของการดำเนินคดีตามกฎหมาย
เพราะ ผู้กำกับการ สน.บางเขน บอกผลการสอบปากคำตำรวจทั้ง 7 นาย ว่าทั้งหมดยอมรับว่าตนเองทำผิดจริง แต่ที่ยังไม่ได้แจ้งข้อหา เหตุผลสำคัญเป็นเพราะยังไม่ได้สอบรายละเอียดจากผู้เสียหาย ครั้งที่แล้วสอบปากคำไปแค่ในภาพรวมการดำเนินคดีอย่างเดียว
แต่อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ เลยทำให้ "น้องสาวผู้บาดเจ็บ" กังวล กลัวพี่ชายจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และอยากรู้ว่าการที่ตำรวจไม่แสดงตัวขณะเข้าจับกุม ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือไม่
ซึ่งอาการบาดเจ็บของ นายธนาภพ ตอนนี้ยังเจ็บซี่โครงที่ถูกเตะอัด และดวงตายังเป็นสีแดง เพราะยังมีเลือดคั่งจำนวนมาก มีอาการปวดหัวตลอดเวลา หายใจไม่เต็มปอด แพทย์ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดไปอีกระยะ
ส่วนที่ต้องจับตากันต่อวันนี้ คือเรื่องการดำเนินคดีกับต้นเหตุ ซึ่งก็คือรถคันที่ขับฝ่าด่านตรวจไป มีรายงานข่าวระบุว่า ชายอายุ 37 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว ประสานจะเข้ามอบตัวกับตำรวจ สน.บางเขน แล้ว ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวมาถึง ข้อเท็จจริงเรื่องการขับรถแหกด่านก็จะคลี่คลาย จะได้ชัดเจนว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร
แต่อย่างหนึ่งที่ตำรวจ สน.บางเขน ฝากมา คือตอนนี้มีโซเชียลฯ เข้าใจผิด ว่าตำรวจทั้ง 7 นาย สังกัด สน.บางเขน แล้วไปต่อว่าเสีย ๆ หาย ๆ อันนี้ฝากทำความเข้าใจใหม่ให้ถูกต้อง ว่าผู้ต้องหาเป็นตำรวจจราจรกลาง ไม่ใช่ตำรวจ สน.บางเขน แต่อย่างใด
ด้าน พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับทราบรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว และสั่งการให้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ลงมาดูคดีด้วยตนเอง รวบรวมหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด กล้องติดตัว พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพยานอื่น ๆ ทุกมิติ เพื่อไขข้อเท็จจริง ดำเนินการตามกฎหมาย เอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
ซึ่ง พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย และครอบครัว ยืนยันว่าคดีนี้จะทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือกัน หากพบเป็นความผิดอาญาและวินัยในส่วนใดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด รวมถึงมาตรการทางปกครองกับผู้บังคับบัญชาด้วย และกำชับเรื่องการตั้งด่านของตำรวจทั่วประเทศ ให้ปฏิบัติตามระเบียบและหลักยุทธวิธี ทำตามกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก