เช้านี้ที่หมอชิต - ปฏิเสธไม่ได้ว่า แก๊งคอลเซนเตอร์ระบาดหนัก คนทั่วไปยังเสี่ยงต่อการถูกหลอกได้ง่าย เหมือนอย่างกรณีของ ย่า-หลาน ที่จังหวัดอุดรธานี สูญเงินไปกว่า 3.4 ล้านบาท แถมคนร้ายก็มามุกเดียวกับคดีของ "ชาล็อต" ด้วย
ต้องบอกว่า กรณีของ "ชาล็อต" นางงามที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซนเตอร์ กับ นายรพีภัทร หนุ่มอายุ 17 ปี คนนี้ ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่วิธีการติดต่อเข้าไปหา นอกนั้นมุกในการขอให้นำเงินเข้าบัญชีให้ได้ตามยอด และโอนให้มิจฉาชีพไปตรวจสอบ รวมถึงต้องให้วิดีโอคอลตลอดเวลา ห้ามเอาเรื่องหมายศาลฯ ไปบอกใคร เรียกได้ว่าใช้มุกเดียวกัน
นายรพีภัทร เล่าให้ฟังว่า เริ่มจากมีคนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ DSI บอกว่ามีการจับกุมคดีฟอกเงิน แล้วพบว่าใน 48 บัญชีที่อายัดไว้ มีชื่อของตนเองเป็นเจ้าของบัญชี ก็หลอกให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ ส่งสายสลับกันไปมากับคนที่แต่งกายคล้ายตำรวจ 4-5 คน มีทั้งตำรวจชายและหญิง หว่านล้อมให้หลงเชื่อ จุดสำคัญคือการสั่งปิดบัญชีของตนได้ เลยทำให้เชื่อโดยสนิทใจ
คำขู่สำคัญ คือ ขอตรวจสอบว่า ผู้เสียหายไม่ได้ติดขัดด้านการเงิน เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นบัญชีม้า เท่ากับว่าถ้าไม่มีเงิน ให้ไปหายืมเงินใครก็ได้มาใส่บัญชีตัวเอง แล้วโอนไปให้ตรวจสอบ วนไปแบบนี้เรื่อย ๆ ถึง 12 ครั้ง จากหลักหมื่นเป็นหลักแสน ไปจนถึงเกือบ 2 ล้านบาท จนมาเริ่มสะดุดตรงที่บอกให้ย่าเอาทองไปจำนำ แล้วย่าเอะใจ ไม่ยอมทำตาม เลยถูกอีกฝ่ายบล็อกการติดต่อไป ถึงได้รู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว
ส่วนเรื่องความคืบหน้าคดีของ "ชาล็อต" ก็มีความคืบหน้าขึ้นมาอีกขั้น ตอนนี้ตำรวจพอจะสืบรู้แล้วว่า ชายที่วิดีโอคอลหลอกให้ "ชาล็อต" หลงเชื่อคือใคร และรู้ข้อมูลบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องทุกแถวแล้ว เหลือแค่ติดตามตัวมาสอบสวนเท่านั้น
ถ้านับจากวันที่รับปาก วันนี้ก็ครบ 2 วันแล้ว ต้องติดตามกันต่อว่า ตำรวจไซเบอร์จะมีข่าวดีอะไรจากคดีนี้บ้าง