บิ๊กอ้อ บินด่วนร่วมสางคดีฆ่า สจ.โต้ง ย้ำปมสังหารเป็นความขัดแย้งทางเมือง เร่งตรวจสอบตำรวจ 4 นาย เอี่ยวหรือไม่ มั่นใจ แม้ไม่มีวงจรปิด ก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดได้ พร้อมเตรียมพิจารณาโอนสำนวนไปสอบสวนกลางหรือไม่
วันนี้ (12 ธ.ค.67) ที่สภ.เมืองปราจีนบุรี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีฆ่า สจ.โต้ง โดยลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ บริเวณบ้านของนายสุนทร วิลาวัลย์ เพิ่มเติม พร้อมกับตำรวจภูธรภาค 2 และ ตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวก่อนลงพื้นที่ว่า วันนี้ได้รับคำสั่งจาก ผบ.ตร.ให้มากำกับดูแลควบคุมการปฏิบัติ และสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน โดยมีกองบังคับการกองปราบร่วมคณะ และจะมีการประชุมร่วมกับตำรวจภูธรภาค 2 ซึ่งต้องไปดูที่เกิดเหตุก่อนว่ามีสภาพอย่างไร เพื่อสั่งการกำชับคดีและรวมรวบพยานหลักฐานประกอบสำนวน
ส่วนจะมีเรื่องของการบงการหรือไม่นั้น พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ในสำนวนการสอบสวนที่วางไว้ว่าจะตรวจสอบอย่างไรบ้าง ผู้ตายเข้าที่เกิดเหตุอย่างไร จะมีการทำไทม์ไลน์เพื่อพิสูจน์ทราบ และผู้ต้องหาทั้ง 7 รายมาอยู่ในที่เกิดเหตุ และพูดคุยมีการวางแผนมาก่อนหรือไม่อย่างไร ซึ่งต้องดูพยานหลักฐาน และตรวจสอบว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ประเด็นเบื้องต้นที่ทราบอยู่แล้วคือ เป็นเรื่องการเมืองท้องถิ่น ซึ่งผู้ตายและกลุ่มผู้ก่อเหตุก็เป็นกลุ่มเดียวกันมาก่อน พอระยะหลังมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามากวาดล้างและสลายกลุ่มไป กลุ่มก็แตกแยกออกไป ทำให้ยังมีเรื่องคาใจหลายเรื่องในการช่วยหรือไม่ช่วยสนับสนุน จนมาถึงการแข่งขันการเมืองท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และสุดท้ายจะต้องมาดูว่ามีประเด็นอื่นอีกหรือไม่ และมีใครเกี่ยวข้องอีก โดยจะประชุมกันอีกครั้ง
สำหรับประเด็นกล้องวงจรปิดที่พบว่าเสีย และบ้านที่เกิดเหตุไม่มีภาพนั้น ไม่ว่ากล้องจะเสียหายหรือไม่เสียหาย ตำรวจก็จะส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจสอบ แต่ไม่ได้เป็นการตัดรอนในการค้นหารวมรวบพยานหลักฐาน ซึ่งตอนนี้ตำรวจมีพยานหลักฐานพอสมควรแล้ว พร้อมยืนยันว่ากล้องวงจรปิดเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของสำนวน แต่คดีหลายคดีไม่มีกล้องวงจรปิด ก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนส่งฟ้องได้
ส่วนคนยิงเป็นคนในบ้านหรือคนนอกนั้น ต้องทำการพิสูจน์ทราบ แม้ผู้ต้องหา 2 รายจะรับสารภาพว่าเป็นผู้ยิง ก็ต้องมาพิสูจน์ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำผิดที่แท้จริง หรือมีคนอื่นร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ และตามขั้นตอนของตำรวจ ขณะนี้ได้เก็บพยานหลักฐาน เขม่าดินปืนร่องรอยทุกคน มือ เสื้อผ้า หน้าผม ได้จัดเก็บไว้ทั้งหมดแล้ว ขณะที่ตัวของผู้ตาย คือ สจ.โต้ง จากการตรวจสอบไม่มีการพกพาอาวุธเข้าไปภายในบ้านที่เกิดเหตุ โดยเข้าไปคุยคนเดียว และปล่อยให้บริวารอยู่ด้านนอก แต่ทำไมถึงให้บริวารหรือลูกน้องอยู่ด้านนอกนั้น ต้องมารับฟังพยานหลักฐานก่อน
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีตำรวจบางนายอยู่ในกลุ่มลูกน้อง สจ.โต้งด้วยนั้น พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการสอบปากคำไปแล้ว เดี๋ยวจะมีการตรวจสอบเพิ่มเติม และวันนี้จะมีการสอบปากคำเพิ่มเติมบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงบุคคลอื่นที่อยู่ในคลิปเสียงด้วยจะต้องเรียกมาสอบปากคำทุกคน ซึ่งยืนยันว่า ทุกปัญหามีคำตอบอย่างแน่นอน ทั้งนี้ กรณีที่ญาติของ สจ.โต้ง มีความกังวลใจและอยากให้โอนสำนวนคดีไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางนั้น วันนี้จะต้องมีการหารือร่วมกันก่อนว่า เรื่องต่าง ๆ ไปทำให้เกิดความเกรงกลัวในพื้นที่ และขยายวงกว้างหรือไม่ โดยกองปราบปรามจะใช้ดุลยพินิจอีกครั้ง และหลังการประชุมวันนี้จะมีการขยายผลไปที่รูปแบบโอเปอเรชันด้วย
ขณะเดียวกัน มีรายงานความคืบหน้าทางคดีหลังจากที่ตำรวจกองปราบปราม ลงมาช่วยในการสืบสวนและทำคดีด้วยว่า คดีนี้ ชุดสืบสวนกองปราบปรามได้เห็นรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และยืนยันว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องขัดแย้งทางการเมืองอย่างแน่นอน ไม่ได้เป็นไปตามข้อมูลที่ออกมาว่าเป็นความขัดแย้งส่วนตัวของลูกน้องโกทรกับตัวของ สจ.โต้ง รวมถึงประเด็นที่มีการกล่าวอ้างว่าโกทรนอนอยู่ภายใน แนวทางการสืบสวนไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะจากแนวทางการสืบสวนพบว่า ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนผู้ต้องหาขณะนี้พบว่า ยังมีทั้งหมด 7 คน และหลังจากนี้จะมีการขยายผลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการยิงต่อสู้กันด้วย