รวบ เจ๊แหม่ม บ้านออมทอง หลอกออมทองโกง 300 ล้าน ผู้เสียหาย เกือบฆ่าตัวตาย หลังนำเงินประกันชีวิตพ่อ ที่ทิ้งไว้หลังเสียชีวิตมาลงทุน ขณะที่ เจ๊แหม่ม อ้าง ไม่ได้ตั้งใจโกง แค่จะนำเงินที่ลูกค้าออมทองมาหมุน แต่เกิดปัญหา ลูกค้าออมทองปิดยอดพร้อมกันช่วงปีใหม่ จึงทำให้เกิดการหมุนเงินไม่ทัน
20 ธันวาคม 2567 สืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายจำนวนหลายราย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ไว้ ที่สถานีตำรวจภูธรบางปะอินเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 หลังจากถูก Facebook กลุ่ม บ้านออมทองเจ๊แหม่ม ชักชวนให้ออมทองแท้เ 96.5% โดยคิดราคาออมทอง ต่ำกว่าราคาทองคำในขณะนั้น แต่หลังจากจ่ายเงินออมทองครบจำนวนแล้ว ไม่ได้รับทองทองคำหรือค่าตอบแทนจริง จึงทำให้มีผู้เสียหายในเขต อ.บางปะอิน จำนวนหลายรายโดยมีความเสียหายมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท
ต่อมา พล.ต.ต โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ ดิเรก โปธิปัน ผกก.สภ. บางปะอิน ได้สั่งการให้ติดตามความคืบหน้าของคดีและเร่งรัดสืบสวน จนทราบว่านางสาวแหม่ม เจ้าของเพจ Facebook หรือกลุ่มบ้านออมทองเจ๊แหม่ม มีการโพสต์ข้อความและรูปโดยการเปิดสาธารณะชักชวนให้ลูกค้าออมทองเป็นทองคำแท้ 96.5% มีทั้งทองคำรูปพรรณและทองคำแท่ง โดยเจ๊แหม่มจะนำเสนอโพรโมชันชักชวนให้ลูกค้ามาออมทองถูกกว่าราคาทองคำในท้องตลาดขณะนั้น ประมาณสาม 3000-4000 บาท เพื่อชักจูงให้ลูกค้าเข้ามาออมทอง
โดยเจ๊แหม่มจะโพสต์ข้อความ แล้วรูปภาพในขณะที่กำลังไปซื้อทองคำด้วยเงินสดที่ร้านทองเป็นจำนวนหลายครั้ง ผ่านทางเพจ Facebook เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าจึงทำให้มีผู้หลงเชื่อและลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากจะเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ในนิคม อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และบุคคลที่หลงเชื่อติดต่อผ่านเฟสดังกล่าวโดยหลังจากกลุ่มผู้เสียหาย จ่ายเงินออมทองคำครบจำนวนแล้วจะได้รับทองคำถัดไปอีก 14 วัน และมีผู้เป็นตัวแทนชักชวนลูกค้า ให้มาออมทองจะได้รับค่าตอบแทนรายละ 500 บาท และโพรโมชันอื่นๆจึงทำให้มีผู้หลงเชื่อ และลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งมีความเสียหายรวมแล้วประมาณเกือบ 300 ล้านบาท จนกระทั่ง ช่วงเดือนธันวาคม 2566 ถึงมกราคม 2567 ได้มีกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 20 คนในพื้นที่ สภ. บางปะอินไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือทองคำจากเจ๊แหม่ม
เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางปะอิน สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอิน เพื่อดำเนินตาม ขั้นตอนของกฎหมาย จนกระทั่งวันที่ 27 มกราคม 2567 ได้รับหมายจับจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จับกุม นางสาวกแหม่ม อายุ37 ปี ชาว ต.บ้านหว้า อ.บางปะอินจ.พระนครศรีอยุธยาในข้อหากระทำความผิด ฉ้อโกงประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. บางปะอินจึงได้ทำการสืบสวนติดตามเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ได้จับกุมนางสาวแหม่มได้ขณะกำลังจะไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งในพื้นที่ของเขตนวนครจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางปะอินเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน นางสาวภัชราภรณ์ อายุ 41 ปี หนึ่งในผู้เสียหายและเป็นเพื่อนกับเจ๊แหม่ม หลังจากทราบข่าวจึงเรียนเดินทางมาดูหน้าของเจ๊แหม่ม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวเข้าไปสอบสวน และตะโกนถาม ว่าไม่สงสารพี่บ้างหรอทั้งๆที่ก็รู้ว่าพี่นำเงิน ประกันชีวิตและเงินฌาปนกิจศพของพ่อที่ เสียชีวิตไปมาลงทุน ซึ่งเจ๊แหม่มก็ยังไปงานศพของพ่อด้วย ทำไมทำได้ลงคอ ไม่สงสารพี่เลยหรอ เจ๊แหม่มไม่ตอบและมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนถูกควบคุมตัวขึ้นไปไปยังห้องสอบสวน
นางสาวภัชราภรณ์ เล่าต่อมา ตนเองทำงานที่บริษัทเดียวกับเจ๊แหม่ม และก็เห็นว่าเค้าโพสต์ Facebook ชวนให้ออมทอง ตนเอง จึงเข้าไปดูโปรไฟล์ก็เห็นว่าเจ๊แหม่มโพรไฟล์ดี และก็มีคนออมทองกับเจ๊แหม่มเยอะ ตนเองจึง สนใจ เห็นว่าหากออมกับเจ๊แหม่ม ขณะนั้น ราคาประมาณ 27,800 บาท หากนำไปขายก็จะได้กำไรประมาณ 4000-5000 จนกระทั่ง ประมาณต้นเดือนสิงหาค มตนเองจึงเริ่มลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มครั้งแรกเพียง 2-3 บาทและก็ได้ผลกำไรตอบแทนจริง
เดือนธันวาคม ปี2566 เจ๊แหม่มก็ขาดการติดต่อไปแบบดื้อดื้อ ตนเองก็พยายามจะติดต่อเรื่องขอรับเงิน และพูดคุยเพราะคิดว่าอาจจะถูกโกง แน่ๆเนื่องจากตนเองออมทองเก็บไว้กับเจ๊แหม่มถึงจำนวน 41 บาท และขอปิดยอด แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนตนเองเสียหายสูญเงินไปกว่า 1 ล้านบาท จนกระทั้งได้มีการพูดคุยกับกลุ่มบ้านออมทองที่มีการออมทองด้วยกันจนทราบว่าเจ๊แหม่มได้ หนีหายไปโดยเฉพาะคนในกลุ่มและที่ทำงานเดียวกัน ประมาณ 20 คนเกือบ 30 ล้านบาท และยังมีผู้เสียหายทั่วประเทศที่ถูกเจ๊แหม่มโกง รวมกันกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งตนเองเสียใจมากและทุกข์ใจมาก เนื่องจากเงินที่นำไปลงทุนเป็นเงิน เป็นเงินที่สามีไปทำงานต่างประเทศและเก็บออม หวังจะนำมาตั้งตัวที่ประเทศไทยและเงิน ประกันชีวิตและเงินฌาปนกิจศพของพ่อที่ทำทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ก็ถูกรวบรวมนำไปลงทุนออมทองกับเจ๊แหม่มหมดตัว แถมยังเป็นหนี้ออมสินอีก ตนเองเสียใจมากเคยคิดอยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ถูกคนในครอบครัวช่วยปลอบใจ โดยเฉพาะสามีกับลูกที่ยังเล็ก และก็ยังหวังว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวเจ๊แหม่มได้ หวังว่าจะได้ทรัพย์สินคืนมาบ้าง เนื่องจากตนเองสืบทราบมาว่าเจ๊แหม่มนั้นนำเงินไปซื้อรถซื้อบ้านให้อดีตแฟนเก่า ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกยึดทรัพย์ หรือสามารถนำมาขายทอดตลาดได้หรือไม่ แต่ตนเองก็หวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง
ด้าน เจ๊แหม่มผู้ต้องหาซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย เผย ตนเองอยากจะขอโทษผู้เสียหายทั้งหมด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากตนเองไม่เหลือเงินเลยซักบาท โดยอ้างว่านำเงินที่ได้มา จากการออมทองของลูกข่าย ตนเองก็นำไปหมุนและแบ่งจ่ายให้ลูกข่าย ที่ออมทองและปิดยอดไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากเกิดปัญหาลูกค้าออมทองปิดยอดพร้อมกันช่วงปีใหม่ จึงทำให้เกิดการหมุนเงินไม่ทัน และไม่มีลูกข่ายมาลงทุนออมทองกับตนเองเพิ่ม จึงทำให้ระบบช็อต และไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน โดยอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหรือโกงใคร แต่ต้องการนำเงินที่ออมทองจากลูกข่าย มาต่อยอดหมุนเงินเท่านั้น แต่เนื่องจากเกิดการหมุนเวียนไม่ทันจึงเกิดความเสียหายไม่สามารถจ่ายเงินให้กับลูกข่าย ได้
พ.ต.อ.ดิเรก โปธิปัน ผกก.สภ. บางปะอิน เผย จากกรณีดังกล่าวคล้ายๆกับแชร์ลูกโซ่ เหมือนลักษณะหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ ในการซื้อทองราคาถูกและนำไปขายได้กำไรเยอะๆซึ่งมันไม่มีอยู่จริงจึงฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อไม่งั้นจะตกเป็นเหยื่อและผู้เสียหายซึ่งขนาดนี้ผู้เสียหายในสภ. บางปะอินมีทั้งหมด 16 รายความเสียหาย 28 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้เสียหายที่ถูก หลอกมาแจ้งความเพิ่มเติมอีกจำนวนมากเนื่องจากมีการโพสต์ชักชวนผ่าน Facebook ซึ่งเป็นสาธารณะ โดยไม่มีการปิดกั้นเข้าถึง และพบมูลค่าความเสียหายทั่วประเทศประมาณ 300 ล้านบาท