นายกฯ สั่งด่วนรายกระทรวงฯ เร่งจัดการฝุ่น PM 2.5 ขั้นเด็ดขาด พร้อมหามาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว
วันนี้ (7 ม.ค.68) นายจิรายุ ห่วงงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการเร่งด่วนในที่ประชุม ครม. คือ เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูกาลที่ปัญหา PM 2.5 เริ่มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะ การรับซื้ออ้อยที่ถูกเผาในหลายพื้นที่ ในขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมก็เริ่มเห็น Hotspot เพิ่มมากขึ้นในบางจังหวัด โดยขอให้ในที่ประชุม ครม.วันนี้หารือในประเด็นนี้ และขอมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆไปดำเนินการในการป้องกัน กวดขัน จับกุมอย่างเข้มงวด โดยมีเป้าหมายต้องลดให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการ ในเรื่องแต่ละกระทรวงโดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรที่ มีการเผา นายกฯได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ประกอบการงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ และสั่งการให้ ให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติบังคับใช้กฎหมายส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า, เผาตอซังข้าว, ข้าวโพด, อ้อย และพืชอื่น ๆ รวมทั้งประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษ โดยร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการดำเนินการดังกล่าว
ขณะที่ให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการห้ามนำเข้าอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งพืชเกษตรอื่น ๆ ที่ผ่านการเผา และให้กระทรวงกลาโหม ขอให้หน่วยงานความมั่นคง และ กรมศุลกากร ตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาทุกชนิด ตามแนวชายแดนต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมีข้อสั่งการ ส่วนราชการอื่น ๆ ที่จะสามารถลด ค่า PM 2.5 ในภาคอื่น ๆ ได้ โดยให้ กระทรวงคมนาคม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ และห้ามใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถ pickup, รถโดยสาร, รถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ปล่อยควันดำรวมทั้งรถขนส่งมวลชนของ ขสมก. และรถร่วมบริการเส้นทางต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ
ทั้งนี้ให้กระทรวงมหาดไทย กำชับ กทม.และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ให้ควบคุมการก่อสร้างในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันการปล่อย PM2.5 จาก site งานก่อสร้างรวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้กับผู้ประกอบการซึ่งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรการดังกล่าว อย่างจริงจัง รวมไปถึงให้กรมโยธาฯ กำหนดแนวทางป้องกันมิให้เกิดการปล่อย PM2.5 ในโครงการก่อสร้างของรัฐ เพื่อให้ทุกหน่วยงานของรัฐนำไปกำหนดใน TOR ของการจ้างก่อสร้างต่อไป เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว
ด้านกระทรวงดีอี ร่วมกับ กระทรวงอุดมศึกษาฯ และ กระทรวงทรัพยากรฯ พัฒนา platform ฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับ hotspot และ ventilation โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม หรือ low cost sensors เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาการฟุ้งกระจายของ PM2.5 อย่างบูรณาการ และให้กระทรวงการต่างประเทศ หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือ และให้ความช่วยเหลือในการลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีข้อสั่งการต่อไปว่า ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ กระทรวงมหาดไทย กำชับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเตรียมการป้องกันกรณีที่มีการลักลอบเผาและเกิดไฟไหม้ลุกลามในวงกว้างและเป็นต้นเหตุของ PM2.5
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบและเสนอ ต่อ ครม. เพิ่มเติมภายในเดือนมกราคมนี้ ว่าในแต่ละกระทรวงจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม หรือใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศอากาศสะอาดในเร็ววันนี้