เกือบวางมวย ตำรวจอยุธยา ช่วยห้ามศึก 2 บ้าน หลังพ่อ-แม่ฝ่ายหญิงแค้นทำลูกสาวท้อง รับปากจะมาขอขมาก็เบี้ยว ซ้ำยังถูกท้าทายขณะขับรถกลับจากศาล ด้านฝ่ายชายเผยเหตุกวักมือเรียก เพราะคู่กรณีขับรถเบียดปาดหน้า จึงเรียกเข้ามาเคลียร์ในโรงพัก
วันนี้ (16 ม.ค.68) ที่สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยา ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพเหตุการณ์ ขณะที่ พ่อแม่ของ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี ทะเลาะวิวาทกับนายเต้ อายุ 22 ปี อดีตแฟน น.ส.เอ และมารดานายเต้ อย่างดุเดือดกลางโรงพักเกือบวางมวย จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องช่วยกันห้าม แยกออกจากัน สืบเนื่องจาก น.ส.เอ และนายเต้ แอบคบหากันตั้งแต่ฝ่ายหญิงอายุ 17 ปี จนฝ่ายหญิงตั้งท้องและไม่สามารถปิดบังพ่อแม่ได้ ฝ่ายหญิงจึงบอกพ่อแม่ให้ไปคุยกับพ่อแม่ของนายเต้ ซึ่งครอบครัวของนายเต้รับปากว่าจะมีการมาขอขมาพ่อแม่ฝ่ายหญิง ตั้งแต่เดือนมี.ค.67 แต่ก็ไม่มา
กระทั่งผ่านไป 3 เดือนช่วงเดือนพ.ค.67 ฝ่ายชายหายเงียบขาดการติดต่อ จนฝ่ายหญิงสืบทราบว่า นายเต้ติดพันหญิงอื่นโดยไม่สนใจตนเองที่กำลังตั้งท้องอยู่ พ่อแม่ฝ่ายหญิงจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความนายเต้ ในข้อหาพรากผู้เยาว์ และเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร 200,000 บาท
พ่อของ น.ส.เอ กล่าวว่า วันนี้ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เรียกคู่ความทั้งสองไปฟังคำตัดสิน โดยศาลตัดสินให้ฝ่ายชายจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาทจนกว่าจะครบ 200,000 บาท จากนั้นก็พากันออกจากศาลและกลับบ้าน ตนขับรถตู้มาตามถนนสายโรจนะ มุ่งหน้าขาออก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นายเต้ ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี นายเต้ ท้าทายกวักมือเรียก ตนจึงขับรถตามมา จากนั้นนายเต้ก็เลี้ยวเข้ามาในสถานีตำรวจแล้วก็มีปากเสียงกัน เนื่องจากทำลูกสาวตนเองท้องและไม่รับผิดชอบ ซ้ำยังมาทำท่าเยาะเย้ย ท้าทาย ทำให้ตนและภรรยาโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ขณะ น.ส.เอ นั่งร้องไห้อยู่บนรถ พร้อมตะโกนบอกกับฝ่ายชายว่า ฝ่ายชายทำตนท้องก็ไม่รับผิดชอบ โกหกว่าจะมาขอก็ไม่มาจนตนเองสืบทราบว่าได้ฝ่ายชายไปมีหญิงอื่นจึงไม่มาสู่ขอตนเอง แถมปล่อยตนให้อุ้มท้องตามลำพังโดยไม่เหลียวแล ซึ่งวันนี้ตนเองเสียใจมากแต่ก็พร้อมที่จะดูแลลูกเองโดยที่ไม่มีพ่อแบบนายเต้
ขณะที่ แม่ของนายเต้ เล่าว่า ตนกำลังขี่รถกลับบ้าน แต่รถตู้ของคู่กรณีขับมาเบียดปาดหน้า ลูกชายจึงพยายามขี่หนี และที่กวักมือเรียก เพราะต้องการให้เข้ามาเคลียร์กันในโรงพัก เพราะกลัวว่าหากขับไปเจอกัน กลัวว่าจะเกิดอันตรายและถูกเบียดจนตกถนนก็เป็นได้
ทั้งนี้ หลังจากเหตุการณ์สงบทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยไม่แจ้งความหรือลงบันทึกประจำวันแต่อย่างใด