ติ๊ก ซิโร่ ไม่ขอสังคมให้อภัย และพร้อมจ่ายชดใช้ 2 ชีวิต 4-5 ล้าน

ติ๊ก ซิโร่ ไม่ขอสังคมให้อภัย และพร้อมจ่ายชดใช้ 2 ชีวิต 4-5 ล้าน

View icon 334
วันที่ 23 ม.ค. 2568 | 13.54 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ครอบครัวติ๊ก ชิโร่ ยัน ที่ผ่านมาช่วยเหลือเยียวยามาตลอด ย้ำ 24 ล้าน เป็นวงเงินที่สูงไป ณ ตอนนี้ครอบครัวพร้อมชดใช้ได้ที่ 2 ชีวิต 4-5 ล้านบาท ส่วน ติ๊ก ชิโร่ ระบุไม่ขอให้สังคมให้อภัยตัวเอง

จากกรณีนายมนัสวิน นันทเสน หรือ ติ๊ก ชิโร่ ศิลปินชื่อดัง เมาแล้วขับรถชนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไปเมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุดผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย จน ทำให้ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย คือ  น.ส.เทียนพร หรือเมจิ อายุ 28 ปี เสียชีวิตคาที่ในวันที่เกิดเหตุ และนายจักรภัคร หรือจูเนียร์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 เสียชีวิตในวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้ ( 23 ม.ค.68) “ติ๊ก ชิโร่” เปิดใจว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการพูดคุยเพื่อชี้แจงความเป็นจริงไม่ใช่เป็นการแก้ต่าง หรือแก้ตัว เป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครที่อยากจะให้เกิดขึ้น ทั้ง 2 ครอบครัวสูญเสียทั้งร่างกาย และจิตใจ ถ้าตนเลือกได้คงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริง และหาทางในการแก้ไขเยียวยา และหาหนทางที่จะให้สองครอบครัวดำรงชีวิตต่อไปได้ และก้าวเดินต่อไป

ด้านน.ส.เอ๋ (สงวนชื่อ-สกุล) น้องสาวภรรยาติ๊ก ชิโร่ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุทางพี่ติ๊กได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง และไม่เคยกลับคำให้การสักครั้ง พร้อมกับนำหลักฐานกล้องหน้ารถส่งให้กับตำรวจ และที่มีการยื่นหนังสือรับรองขอความเป็นธรรมไปตามที่เป็นข่าว เป็นเพียงการขอให้สอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดี

ในการเจรจาความเสียหาย ที่พ่อของผู้เสียชีวิต บอกว่าพี่ติ๊กไม่เคยไปเจรจานั้น ในวันแรกที่เกิดเหตุตัวพี่ติ๊กเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ตนจึงเป็นคนประสานงานให้ตั้งแต่วันแรก และทราบว่าในวันเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 1 คนคือน้องเมจิ ทางครอบครัวตนจึงจ่ายให้ไป 100,000 บาท และเมื่อพี่ติ๊กออกจากโรงพยาบาล ได้ไปงานรดน้ำศพและสวดอภิธรรมงานศพของน้องเมจิทุกวัน เมื่องานเสร็จสิ้นทางเราก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำพิธีศพให้กับตัวคุณพ่อผู้เสียชีวิตไปอีก 75,530 บาท

หลังจากนั้นทางฝั่งพี่ติ๊กและครอบครัวผู้เสียชีวิตก็มีการนัดเจรจากันครั้งแรก ในวันที่ 12 ต.ค. โดยมีผู้ใหญ่ร่วมรับฟังด้วย  แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากน้องจูเนียร์ยังอยู่ในห้องไอซียู หลังจากนั้นพี่ติ๊กและคุณพ่อของผู้เสียชีวิต มีการแลกช่องทางติดต่อกัน และมีการติดต่อกันอยู่ตลอด โดยมีการนัดเจรจาอีกครั้งที่บ้านของพี่ติ๊ก ซึ่งวันนั้นทางครอบครัวผู้เสียชีวิตมีการเสนอขอค่าเยียวยา 9 ล้านบาท แต่มาทราบภายหลังว่า 9 ล้านบาท คือค่าเยียวยาของน้องเมจิคนเดียว

ต่อมามีการนัดหมายที่ สน.คันนายาว ในวันที่ 19 ต.ค. ตนจึงเข้าไปเจรจาแทน ระหว่างพูดคุยกันก็มีการประสานกับประกันภัย ซึ่งในวันนั้นประกันยินยอมจ่ายให้ 500,000 บาท และแจ้งว่าวงเงินที่จะจ่ายเยียวยา สำหรับคนเจ็บและผู้เสียชีวิตนั้นสูงสุดคนละ 1 ล้านบาท แต่หากทางติ๊กเป็นฝ่ายผิด ก็จะจ่ายเพิ่มอีกคนละ 500,000 บาท ทำให้ญาติเข้าใจผิดว่า ทางเราจะเยียวยาเพียงแค่ 3 ล้านบาท ทางญาติของผู้เสียชีวิตจึงเดินมาบอกว่าหากขับรถชนลูกสาวของติ๊กบ้าง แล้ววางเงินให้ 3 ล้านบาทได้หรือไม่ ตนรู้สึกว่าคำพูดนี้แทงใจ และคิดว่าการเจรจาไม่ควรพูดกันแบบนี้

ซึ่งระหว่างนั้นที่น้องจูเนียร์ได้ทำการรักษาพยาบาล ทางคุณพ่อของน้องก็ได้มีการติดต่อมาทางพี่ติ๊กให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ พี่ติ๊กยินยอมจ่ายไปตลอดสามเดือนที่เกิดขึ้น โดยจ่ายไป 420,000 บาท ซึ่งหากรวมกับเงินที่ประกันภัยจ่ายไปแล้ว 500,000 บาท ก็จะอยู่ที่ 920,000 บาท ในส่วนนี้จะมองว่าเป็นเงินเยียวยาหรือไม่ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา นอกจากนี้ในส่วนของพรบ. รถยนต์ ได้แจ้งว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินให้ก่อนได้ เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุด

หลังจากนั้นตนจึงมีการปรึกษาหารือกันภายในครอบครัว และคิดว่าจะนำทรัพย์สินที่ดินในจ.นครราชสีมา 1 แปลงออกมาขาย โดยราคาที่ดินขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้เพราะโฉนดอยู่ในตู้เซฟ โดยทางพี่สาวหรือภรรยาของพี่ติ๊กเป็นผู้เก็บไว้ แต่พี่สาวอยู่ต่างประเทศ แต่คาดว่าราคาจะอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท โดยจะนำมาขายหากขายไม่ได้ก็จะนำมาโอนให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตโดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดฝั่งพี่ติ๊กจะเป็นผู้ออก

กระทั่งวันที่ 13 ม.ค. เจรจากันครั้งสุดท้ายในชั้นของสถานีตำรวจ มีผู้กำกับมานั่งร่วมเจรจาด้วย ทางฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิต เสนอตัวเลขค่าเยียวยาของน้องจูเนียร์ 18 ล้านบาท และน้องเมจิ 6 ล้านบาท รวม 24 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถที่จะให้ได้ เนื่องจากยอดเงินสูงหาให้ไม่ทัน จะต้องมีการปรึกษากับทางครอบครัวก่อน และการเจรจานี้ยังไม่ถึงสิ้นสุด แต่ยืนยันว่าขณะนี้ทางครอบครัวของพี่ติ๊กสามารถเยียวยาทั้ง 2 ชีวิตได้ในวงเงิน 4-5 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเยียวยาได้สูงสุดเท่าไร

ขณะที่ ทนายกันตเมธส์ จโนภาส กล่าวว่า ในส่วนแนวทางการดำเนินคดี ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในชั้นสอบสวนที่ต้องเรียกติ๊ก ชิโร่ ไปแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน เป็นข้อหาเมาแล้วขับ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต้องรอจนกว่าจะถึงการสรุปสำนวน เราไม่ขอก้าวล่วง แต่เมื่อทราบผลคดีหรือการสรุปสำนวนของพนักงานสอบสวน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเป็นอย่างไรนั้น เราก็จะดำเนินการร้องขอความเป็นธรรม เพื่อขอให้ทำคดีให้ออกมาถูกต้องตามความเป็นจริงของกฎหมาย

ซึ่งในส่วนคลิปหน้ารถที่เราไม่ได้นำมาเปิดเผยเพราะว่าอยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาติ๊กไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้กระทำความผิด เพราะติ๊กรับสารภาพ แต่เรามองว่าเหตุการณ์ในคดีนี้ ความผิดจะเกิดจากฝ่ายติ๊กฝ่ายเดียวหรือไม่ คงต้องรอผลจากพนักงานสอบสวนก่อน และทางทนายความได้ทำหนังสือไปที่พนักงานสอบสวนเพื่อให้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการเป็นไปตามข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการนัดวันเคลียร์ค่าเยียวยาอีกครั้ง ต้องรอพนักงานสอบสวนเรียกตัวไปแก้ไขสำนวนแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเราก็พร้อมจะเจรจา หากเจรจาแล้วไม่ได้ผลก็จะเจรจาใหม่ และหากสรุปสำนวนคดีไม่เป็นธรรมก็จะร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการเพื่อรักษาสิทธิ์ของเราเอง

“ต้องเข้าใจกฎหมายของประเทศไทยก่อนว่าต้องยอมรับต้องความเป็นจริง บางทีค่าของคนมันไม่เท่ากัน เรารู้ว่าชีวิตเดียวเท่ากัน ตรงนี้น่าจะเข้าใจตรงกัน”

ขณะที่ ติ๊ก ชิโร่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมาตนได้ไปเยี่ยมน้องจูเนียร์ที่โรงพยาบาลและได้ฝากฝังให้เจ้าหน้าที่ดูแลน้องจูเนียร์ แต่น้องจูเนียร์ จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งทางครอบครัวนั้นไม่มีที่สำหรับดูแลน้องจูเนียร์ จึงได้ส่งน้องจูเนียร์ไปที่ศูนย์ผู้ป่วยติดเตียงที่ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งตนจ่ายไปเดือนแรก  50,000 เดือนที่สองจ่ายไป 100,000 บาท ซึ่งไม่มีใครคิดว่าน้องจะเสียชีวิต.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง