ทนายเกิดผล ยกคดีอุทาหรณ์ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ยอมให้คนอื่นใช้ชื่อซื้อรถ ขายรถโอนลอย อาจถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตได้
วันนี้ (27 ม.ค.68) ทนายเกิดผล หรือนายเกิดผล แก้วเกิด ยกคดีอุทาหรณ์ไม่จำเป็น อย่าโอนลอย หรือใช้ชื่อเช่าซื้อแทนคนอื่น โชคร้าย อาจถูกศาลพิพากษาประหารชีวิตได้ แต่ไม่ได้จะถูกประหารเพราะโอนลอยรถยนต์ตรง ๆ หรอก แต่มันเกิดจากการที่มีผู้รับซื้อรถยนต์ นำไปขนยาเสพติด
คดีแรก เกิดขึ้นมาประมาณ 5 ปี เจ้าของรถขายโอนลอยพร้อมเอกสารสำคัญให้คนซื้อ แต่คนซื้อดันเป็นพ่อค้ายาเสพติด นำรถไปขนยาเสพติด และแหกด่านหนีแต่ไปไม่รอด ก็จอดรถทิ้งไว้ ภายในรถ มีสมุดคู่มือ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ของเจ้าของรถคนเดิม ตำรวจก็ตามไปจับเจ้าของรถคนเดิม ตามที่ปรากฎในเอกสาร เจ้าของรถให้การต่อสู้ว่า ตนโอนลอยรถยนต์ไป และต่อสู้ว่าขณะเกิดเหตุ ตนขายของอยู่หน้า 7 -11 ที่แม่สอด โดยนำคลิปจากกล้องวงจรปิดมาสืบ ศาลชั้นต้นประหารชีวิต ศาลอุธรณ์ ยกฟ้อง
ส่วนคดีที่ 2 เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ที่ศาลจังหวัดแพร่ ลูกความเป็นหนุ่มชาวดอย อยู่จังหวัดน่าน และตกเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ เขายินยอมใช้ชื่อเช่าซื้อรถบิ๊กไบก์ให้ญาติ ต่อมามีคนร้ายนำรถบิ๊กไบก์ปตระเวนลาดเลาดูเส้นทางขนยาเสพติด จำนวน 660,000 เม็ด ตำรวจจับกุมได้ และขยายผลไปถึงเจ้าของรถ จากทะเบียนรถ เจ้าตัวต่อสู้ว่า ไม่ใช่ผู้ชับขี่ และไม่รู้เรื่อง เป็นแต่เพียงใช้ชื่อเช่าซื้อให้ญาติ และวันเกิดเหตุ แต่งงานอยู่ที่จังหวัดน่าน นำรูปถ่าย ผู้ใหญ่บ้าน มาเป็นพยานในศาล
ทนายเกิดผลระบุ ด้วยว่า คดีที่ 2 นี้ ศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ มองว่า ในวันที่ตำรวจติดตามจับกุมกลุ่มคนร้าย ตามเส้นทางขนยาเสพติด และหลบหนี มีชาย 2 คน คนแรก คือจำเลยที่ 1 ขับรถบิ๊กไบก์ เข้ามาพักในโรงแรม โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้บัตรประชาชน ของตนเองเช็กอินในการเช่า ห้องพัก ส่วนชายคนที่ 2 ยืนอยู่ห่าง ๆ ลักษณะเป็นชายสวมเสื้อสีดำ ทรงผมสั้น รูปร่างคล้ายจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ รูปบัตรประจำตัวประชาชน ที่ ตำรวจทำให้พนักงานโรงแรมชี้นั้น ตรงกับรูปภาพของชายที่อยู่ในคลิปวีดีโอกล้องวงจรปิดของ โรงแรม ศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 2 จำเลยถูกย้ายมาเรือนจำกลางบางขวาง
ทนายเกิดผล บอกด้วยว่า ผมเป็นทนาย จำเลยที่ 2 จึงได้ยื่นฎีกา ซึ่งศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกาได้ จำเลยที่ 1 ก็ยื่นฎีกา กรณีของจำเลยที่ 1 มีประเด็น 2 ประเด็น คือ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด และ 2 ฟ้องผู้โจทก์ไม่สมบูรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้อง
คดีนี้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ พิพากษาว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำฟ้องตามกฎหมาย ศาลฎีกาจึงสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ไขภายในระยะเวลา เมื่อตรวจแก้ไขภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงถือว่าคำฟ้องนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนฎีกา ของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับจำเลยที่ 2 เนื่องจากพยานที่มาเบิกความ ได้ถูกชักจูงหรือชักนำจากตำรวจที่นำรูปของจำเลยที่ 2 มาให้พยานดูก่อนที่จะ ออกหมายจับ และพยานกับเบิกความโดยสารต่อทนายจำเลยที่ 2 ถามค้าน ยอมรับว่าไม่รู้จักและจำเลยที่ 2 ไม่ได้ เหตุที่ชี้รูปภาพคุณจำเบอร์ที่ 2 เพราะตำรวจนำรูปมาให้ดูก่อนจึงเข้าใจว่าเป็นภายในคลิปวีดีโอ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2
“หลังจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง จำเลย ที่ 2 ก็กลายเป็นคน ซึมเศร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษา อาการซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากการถูกจับ คุมขัง และเมียทิ้งไปในระหว่างติดคุกอยู่” ทนายเกิดผลระบุ