ผู้สูงอายุ 2 แสนคนยังไม่ได้เงิน 1 หมื่นบาท

View icon 230
วันที่ 28 ม.ค. 2568 | 16.10 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันกลุ่มคนไม่มีสมาร์ตโฟนได้รับเงิน 10,000 บาทแน่นอน แต่กลุ่มที่มีสมาร์ตโฟนแล้วลงทะเบียนผ่านแอปฯทางรัฐ ไม่สำเร็จจะหมดสิทธิรับเงิน ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ โอนไปแล้วรอบแรก พบมีผู้สูงอายุไม่ได้รับเงิน 200,000 กว่าคน

ผู้สูงอายุ 2 แสนคนยังไม่ได้เงิน 1 หมื่นบาท
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการโอนเงิน 10,000 บาท ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ปรากฎว่า ผลการโอน สั่งจ่าย 3,025,596 คน รับเงินแล้ว 2,825,076 คน (93.37%) ยังไม่ได้รับเงิน 200,520 คน (6.63%) ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ได้รับเงิน ส่วนใหญ่ 97.10% ไม่ผูกพร้อมเพย์ 2.90% สถานะบัญชีมีปัญหา เช่น บัญชีปิด บัญชีติดเงื่อนไข จึงแนะนำให้รีบติดต่อธนาคาร ผูกพร้อมเพย์กับบัญชีเงินฝากด้วยเลขประจำตัวประชาชน และแก้ไขสถานะบัญชีให้พร้อมรับเงิน เพื่อเตรียมรับเงินรอบโอนซ้ำ 3 ครั้ง คือ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์, 28 มีนาคม และ 28 เมษายน 2568

ลงทะเบียนไม่สำเร็จ หมดสิทธิรับเงินหมื่น
ส่วนกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป กรณีที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ หรือ ไม่ได้กดยืนยันรับสิทธิ จะถือว่าเป็นผู้ที่ลงทะเบียนไม่ครบตามขั้นตอน จึงไม่ได้รับสิทธิ รวมถึงจะไม่สามารถไปลงทะเบียนใน กลุ่มไม่มีสมาร์ตโฟน ได้ เพราะถือว่า ไม่ได้ลงทะเบียนครบตามกระบวนการ จะถือว่าเสียสิทธิ เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนในแอปพลิเคชันทางรัฐตั้งแต่ต้น

ส่วนการตรวจสอบกลุ่มที่มีสมาร์ตโฟนกับไม่มีสมาร์ตโฟน หลังจากนี้จะมีประกาศขั้นตอนว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 1 เดือน รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมยืนยันว่ากลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ตโฟนจะได้รับเงิน 10,000 บาทอย่างแน่นอน แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้พร้อมกับกลุ่มเฟสที่ 3

นายเผ่าภูมิ บอกว่า สำหรับเฟส 3 หากเป็นผู้โหลดแอปพลิเคชันทางรัฐ แต่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ หรือไม่ครบตามขั้นตอน ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ซึ่งเฟสที่ 3 จะยึดตามหลักเกณฑ์เดิม คือต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จ และต้องมีเงื่อนไขเรื่องรายได้ตามที่กำหนดไว้ โดยจะมีการตรวจสอบจากธนาคารต่าง ๆ และกรมสรรพากร ส่วนคนที่ลงทะเบียนไม่ผ่านสามารถยื่นเรื่องอุทธรณ์ฝากเรื่องไว้ที่สายด่วน 1111

ไฟเขียว ค่ายมือถือ-แบงก์ ร่วมรับผิดชอบเหยื่อ
ส่วนเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติในหลักการ ร่างพระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญจากฉบับเดิม 5 ประเด็น

1. กำหนดการรับผิดชอบของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

2. ผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม มีหน้าที่ระงับ การใช้งานซิมการ์ดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที

3. เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย โดยเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคาร ต้องส่งข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. เพื่อให้ตรวจสอบ และคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็ว ซึ่งเดิมการคืนเงินให้กับผู้เสียหายต้องใช้เวลา 1-2 ปี การแก้ไขพระราชกำหนดฉบับนี้จะทำให้คืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็วขึ้นอยู่ที่ 6 เดือนถึง 1 ปี

4. เพิ่มอำนาจการดำเนินการเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แพลตฟอร์มไหนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ

5. เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล คือ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบส่ง และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบการซื้อ-ขาย มีโทษปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาทและจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี

หลังจากนี้จะให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา ซึ่งเลขาธิการกฤษฎีกา ระบุว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง