ศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้อง “ตู้ห่าว-อดีตภรรยา” และพวกรวม 19 คน คดีผับจินหลิง ชี้ พยานโจทก์มีน้ำหนักไม่เพียงพอ ให้จำคุก-ปรับจำเลย 6 คน ข้อหา ยาเสพติด อาวุธปืน จัดตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ ลุ้นอัยการสูงสุดอุทธรณ์หรือไม่
วันนี้ (11 ก.พ.68) ที่ห้องพิจารณาคดี 503 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษา คดี ย.87/2566 ที่สำนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว จำเลยที่ 2, พ.ต.อ.หญิง วันทนารีย์ อดีตภรรยานายชัยณัฐร์ จำเลยที่ 8 กับพวกรวมกันเป็นจำเลยที่ 1-25 ในความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดในลักษณะขององค์กรอาชญากรรม, ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และประเภท 4 โดยไม่ได้รับอนุญาต , สมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน , เป็นอั้งยี่มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันรับคนต่างด้าวทำงานโดยคนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตให้ทำงาน และร่วมกันให้เข้า พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
กรณีเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ตำรวจ บช.น. นำกำลังเข้าตรวจค้นผับ "จินหลิง" ย่านสาทร พบและยึดยาเสพติดประเภท 1 ,2 และ 4 พร้อมอุปกรณ์การเสพหลายรายการ และอาวุธปืน จากการสอบสวนพบเป็นเครือข่ายของกลุ่มทุนจีนสีเทา โดยมีนายตู้ห่าวจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำความผิด โดยศาลได้รวมการพิจารณา 3 สำนวนเป็นคดีเดียวกัน โดยจำเลยที่ 1, 4 และ 5 ขอ กลับคำให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย.63 - 1 พ.ย.65 จำเลยร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์อาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันกระทำผิดร้ายแรง ได้มาซึ่งทรัพย์สิน มุ่งหมายการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยจำเลยทั้ง 25 ร่วมกันวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ นำคนกัมพูชามาทำงาน และให้คนจีนมาเที่ยวในแหล่งบันเทิงที่จำเลยร่วมกันเปิด มีการจำหน่ายยาเสพติดเมทแอมเฟตามีน , คีตามีน , ไนเมตาซีแพม , โคลนาซีแพม , สารซีเมทิลีน ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยจำเลยที่ 1-7 , 9-12 , 16 , 17 , 19 และ 21 ร่วมกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันจัดหาเงินทุนเพื่อจัดซื้อยาเสพติด สถานที่เสพ สถานที่เก็บยาเสพติด ชักชวนลูกค้าจากต่างประเทศมาเที่ยวและเสพยา นอกจากนี้ จำเลยยังกระทำผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน มีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกว่า 300 ครั้ง เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด มีปืนแบลงก์กัน เครื่องกระสุนปืน ร่วมกันเปิดสถานบริการ "จินหลิง" โดยไม่ได้รับอนุญาต และรับคนต่างด้าว 27 คน มาทำงานโดยผิดกฎหมาย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์นำพยานบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ปปง. และ ป.ป.ส.เข้าเบิกความว่า ช่วงปลายเดือน ก.ย. 65 เกิดเหตุนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนเสียชีวิตจากการเสพยาเสพติดที่สถานบริการท็อปวัน ย่านรัชดาภิเษก ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีความเชื่อมโยงกับสถานบริการ จินหลิง จึงเป็นเหตุให้ขอหมายศาลเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 พบว่าเป็นสถานบริการที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าไปเที่ยวเสพยาเสพติด โดยมีการนัดหมายผ่านโปรแกรม WeChat และ telegram มีการดัดแปลงอาคารเป็นห้องคาราโอเกะ 12 ห้อง พบนักเที่ยวเป็นต่างด้าวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนจำนวน 200 คน ในจำนวนนี้มี 100 คนตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง มีคนไทย คนจีน และเมียนมาเป็นพนักงาน และพบว่า นายตู้ห่าว จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองอาคารจินหลิง โดยพบบัญชีของธนาคารกรุงเทพ และบัญชีธนาคารกสิกรไทย ในการชำระเงินค่าบริการและจ่ายค่ายาเสพติด และโอนเข้าบัญชีแถวที่ 1 บัญชีแถวที่ 2 จำนวน 16 บัญชี แถวที่ 3 และแถวที่ 4 ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีลักษณะเป็นบัญชีม้า โดยมีบุคคลอื่นทำธุรกรรมแทนชื่อเจ้าของบัญชี และมีการโอนเงินเกี่ยวพันกับร้านท็อปวัน
เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้ง 25 เป็นอั้งยี่และเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินั้น โจทก์ไม่ได้แสดงพยานหลักฐานให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 25 มีการสั่งการหรือควบคุมการกระทำความผิดในสถานที่ใด ตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด แบ่งหน้าที่กันอย่างไร ได้ความแต่เพียงว่า ก่อนเข้าจับกุม 2 สัปดาห์เจ้าหน้าที่ไม่สามารถแฝงตัวเข้าไปภายในร้านจินหลิงได้ จึงต้องทำการขอศาลออกหมายค้นเข้าตรวจค้น พยานหลักฐานในเรื่องการเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจึงมีน้ำหนักน้อย ฟังได้ว่าในการตรวจค้นที่ร้านดังกล่าวพบชาวต่างด้าวและยาเสพติด เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานยึดยาเสพติด ปืนแบลงค์กัน และวิทยุสื่อสาร แม้จำเลยที่ 1, 4 และ 5 แม้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้ แต่ก็ไม่สามารถลงโทษในความผิดฐานองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดเรื่องการสมคบกันค้ายาเสพติดประเภทที่ 1, 2 และ 4 หรือไม่ เห็นว่า ขณะเข้าตรวจค้นไม่พบ นายตู้ห่าว จำเลยที่ 2 อยู่ในที่เกิดเหตุ ที่โจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองร้านในฐานะผู้เช่า เห็นว่าในทางนำสืบของโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้รับโอนเช่าร้านจินหลิงเมื่อปี 2562 ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 จากลูกหนี้มีกำหนดเช่า 3 ปี แทนการชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อครบกำหนด 3 ปีตามสัญญาเช่าเมื่อปี 2564 อาคารดังกล่าวจึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ได้นำตัวลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 มาเบิกความเพื่อให้ทนายความจำเลยที่ 2 ซักค้านอีกด้วย
จำเลยที่ 1 ,4 และ 5 ให้การรับสารภาพว่า เป็นพนักงานภายในร้านจินหลิง ดูแลห้องเก็บสินค้าซึ่งเป็นห้องที่เก็บยาเสพติดนำไปจำหน่ายให้ผู้มาใช้บริการห้องคาราโอเกะ ลักษณะของร้านมีลักษณะปกปิด ต้องนัดหมายก่อนถึงเข้าไปเที่ยวได้ และยาเสพติดที่พบมีปริมาณมาก เมทแอมเฟตามีน 1,063.314 กรัม และมีเคตามีน 2,709.985 กรัม เป็นอาชญากรรมร้ายแรงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และจำเลยที่ 1 , 4 และ 5 ยังมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองด้วย จำเลยที่ 5 ยังมีความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, ร่วมกันรับคนต่างด้าวทำงานโดยคนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตให้ทำงาน และร่วมกันให้เข้า พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ส่วนจำเลยที่ 7 , 11 และ 12 มีความผิดฐานสนับสนุนให้มีการจำหน่ายยาเสพติด สถานที่เก็บยาเสพติด และสถานที่เสพยาเสพติด โดยจำเลยทั้ง 25 ไม่มีความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า เงินที่มีการโอนไปมาหลังวันที่ 26 ต.ค.65 เป็นเงินจากการกระทำความผิดค้ายาเสพติดหรือไม่ จึงมีความสงสัยตามสมควร ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้ง 25 คน
ศาลพิจารณาคดีแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1,4 มีความผิดฐานจำหน่ายโดยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 กับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และในประเภท 4 โดยเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยมีอาวุธปืน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และฐานครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษจำคุกคนละ 27 ปี 6เดือน และปรับคนละ 1,790,000 บาท
จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเดียวกับจำเลยที่ 1 เเละ 4 และฐานจัดตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต, ฐานรับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานให้เข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานให้คนต่างด้าวซึ่งเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม ให้ลงโทษจำคุก 28 ปี 12 เดือน และปรับ บาท 2,600,000 บาท จำเลยที่ 7,11,12 มีความผิดฐานสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้ลงโทษจำคุก 21 ปี 24 เดือน และปรับคนละ 1,706,666 บาท
ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยอื่น ได้แก่ จำเลยที่ 2, 3, 6, 8, 9, 10, 13-25 ข้อหาและคำขออื่นของโจทก์ให้ยก และริบของกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาตั้งแต่เวลา 09.00 น.เศษ จนถึงเวลา 14.00 น.เศษ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ทางพนักงานอัยการจะต้องไปขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม เพื่อส่งให้อัยการศาลสูงสุดพิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ เหตุที่เป็นอำนาจอัยการสูงสุดไม่ใช่อัยการศาลสูง เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร