กรมคุก แจงกรณีญาติผู้ต้องขังร้องลูกชายถูกผู้คุมทำร้ายในเรือนจำ ยัน ผู้คุมเข้าระงับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างนักโทษตามมาตรฐาน ไม่ใช้กำลังเกินเหตุ ขณะที่ผลสอบพยาน 22 ปาก สอดคล้อง ไม่มีผู้คุมใช้กำลังทำร้าย หรือทำเกินกว่าเหตุ
จากกรณีญาติของผู้ต้องขังเรือนจำกลางเขาบิน นําหลักฐานเอกสารเข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดยอ้างว่า นายธัช ลูกชาย ถูกผู้คุมในเรือนจำ 6 คน ทำร้ายร่างกายในระหว่างเข้าระงับเหตุการทะเลาะวิวาทของผู้ต้องขัง 2 กลุ่มในเรือนจำนั้น
วันนี้ (14 มี.ค.68) กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากเรือนจำกลางเขาบินว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย.67 เกิดเหตุผู้ต้องขังกลุ่มภาคใต้และกลุ่มภาคกลาง ทะเลาะวิวาทกันภายในแดน 3 เจ้าพนักงานเรือนจำจึงได้เข้าระงับเหตุ เมื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ จึงสอบสวนผู้ต้องขังที่ก่อการทะเลาะวิวาท ปรากฏว่าสาเหตุเกิดจาก น.ช.ธีธัช (คาดว่าเป็นบุคคลเดียวกับ นายธัช ที่เป็นข่าว) ขณะออกไปตรวจรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลภายนอก อ้างว่า น.ช.สิทธิพงศ์ ผู้ต้องขังกลุ่มภาคใต้ ขอให้ลักลอบนำยาโคลนาซีแพม (Clonazepam) ซึ่งเป็นยาควบคุมเพื่อใช้รักษาอาการชักและคลายกังวลที่แพทย์จะต้องสั่งจ่ายโดยเฉพาะเข้าไปภายในแดน 3 แต่ น.ช.ธีธัช ไม่ได้นำยาดังกล่าวกลับเข้ามา จึงเกิดมีปากเสียงกัน
ขณะนั้นมีผู้ต้องขังกลุ่มภาคใต้และภาคกลางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงลุกลามบานปลายถึงขั้นทะเลาะวิวาทกัน นำไปสู่การเข้าระงับเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ เรือนจำพิจารณาและประเมินสถานการณ์แล้ว เพื่อให้สามารถระงับเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที และป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามและสร้างความเสียหายที่ยากต่อการควบคุม จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการระงับเหตุ เพื่อให้หยุดยั้งพฤติกรรมของผู้ต้องขังนั้น ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง (SOPs) เรื่องมาตรฐานการใช้กำลังกับผู้ต้องขัง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 22 (2), (3) และกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือชนิดของอาวุธอื่นนอกจากอาวุธปืนที่เจ้าพนักงานเรือนจำจะพึงมีไว้ในครอบครอง หรือใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พ.ศ. 2563 ข้อ 2 (1) โดยเจ้าพนักงานเรือนจำได้ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดมิได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด
เรือนจำกลางเขาบินได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่า จากการสอบพยานบุคคลผู้ต้องขัง จำนวน 22 คน ต่างให้การสอดคล้องและยืนยันว่า เจ้าพนักงานเรือนจำที่เข้าระงับเหตุการณ์ไม่มีผู้ใดใช้กำลังทำร้าย หรือกระทำการเกินกว่าเหตุ คงมีเพียงกลุ่มของ น.ช.ธีธัช และพวกรวม 6 คน ที่ให้การตรงข้ามกับพยานบุคคลรายอื่น เมื่อสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ เรือนจำฯ ได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยกับผู้ต้องขังที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และดำเนินการย้ายผู้ต้องขังทั้ง 2 กลุ่มไปควบคุมยังแดนความมั่นคงสูงสุด (แดน 4) ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่กำหนด ซึ่งรวมถึง น.ช.ธีธัช ที่ถูกลงโทษทางวินัยด้วย
กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่า กรณีที่มีหนังสือร้องเรียนมายังกรมราชทัณฑ์ สำนักผู้ตรวจราชการกรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น และให้เรือนจำชี้แจงเรื่องดังกล่าว อนึ่ง การร้องเรียนของญาติในกรณีนี้ ในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2568 กรมราชทัณฑ์ได้สั่งการให้เรือนจำฯ รายงานชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว เรือนจำฯ ได้มีหนังสือรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2568 โดยสำนักผู้ตรวจราชการกรม ตรวจสอบรายงานดังกล่าวแล้ว เพื่อให้มีข้อมูลการพิจารณาที่ครอบคลุมทุกด้าน จึงมีหนังสือถึงเรือนจำฯ เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด ประวัติการรักษาพยาบาลกลุ่มผู้ต้องขังที่อ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากเรือนจำฯ
ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่าเรือนจำกลางเขาบินเป็นเรือนจำความมั่นคงสูงสุดที่คุมขังผู้ต้องขังที่มีพฤติการณ์ดื้อด้าน ยากต่อการปกครอง และกลุ่มผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมใช้เรือนจำเป็นแหล่งการซื้อขายยาเสพติด หรือมีพฤติกรรมอยู่เบื้องหลังการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่ถูกคัดย้ายมาจากเรือนจำอื่น อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ยังคงดำเนินการภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการควบคุมผู้ต้องขัง (SOPs) และปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (ข้อกำหนดแมนเดลา) เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ต้องขังทุกคนเป็นสำคัญ