อธิบดีกรมทางหลวง-บอร์ด กทพ. ลงพื้นที่ตรวจเหตุ โครงการทางพิเศษพระราม 3 ถล่ม เร่งคืนพื้นผิวจราจรใน 7 วัน ซ่อมสะพานใน 30 วัน พร้อมลุยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง-วางมาตรการด้านความปลอดภัย
วันนี้ (16 มี.ค.68) นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง และประธานบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 30 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ บริเวณโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก สัญญาที่ 3 หลังถล่มลงมาทับวิศวกรและคนงาน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก
หลังลงพื้นที่ตรวจสอบ พบร่องรอยการทรุดตัวของดิน บริเวณฐานเสาค้ำยันด้านซ้าย มีลักษณะเอียง 20 องศาไปทางฝั่งถนน พระราม 3 ขาออกมุ่งหน้าไปทางดาวคะนอง หรือ ฝั่งถนนจอมทองบูรณะ จึงสันนิษฐานว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ อาจเกิดจากดินทรุดตัว แต่ยังไม่ขอฟันธง โดยจะต้องรอเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบเชิงลึกอีกครั้ง ตอนนี้ จะต้องเร่งคืนพื้นที่การจราจรให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเส้นทางหลัก คาดว่าจะใช้เวลาฟื้นฟูประมาณ 7 วัน ขณะที่การซ่อมแซมสะพานที่ชำรุด คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน
ส่วนเรื่องการเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อย และยังสั่งการให้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยในการก่อสร้าง ตรวจสอบอุปกรณ์ เครื่องมือ และกระบวนการทำงานอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย ซึ่งการทางพิเศษฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทุกขั้นตอน พร้อมเปิดให้หน่วยงานภายนอก เช่น สภาวิศวกร และผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง เข้ามาวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุในเชิงลึกด้วย
ขณะที่ นายวิทยา ยาม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมไม่ได้เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำลังเร่งแก้ไขปัญหา โดยเน้นย้ำว่าผู้ปฏิบัติงานต้องมีความปลอดภัยเป็นอันดับแรก หากพบว่ามีจุดเสี่ยงใดที่ไม่แน่นอนด้านความปลอดภัย จะต้องมีคำสั่งหยุดงานทันที นอกจากนี้ ยังได้หารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดเส้นทางเลี่ยงให้ประชาชน โดยแนะนำให้ใช้สะพานภูมิพล 1 และ 2 รวมถึงสะพานตากสินแทน
ในส่วนของมาตรการลงโทษผู้รับเหมา ทางกระทรวงคมนาคมได้ออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น โดยจะมีการให้คะแนนและจัดทำ “สมุดพกผู้รับเหมา” เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน หากพบว่ามีข้อบกพร่อง จะมีมาตรการขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) และส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบมาตรฐานการทำงานของแรงงานที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีใบอนุญาตเฉพาะด้าน และผู้รับเหมาจะต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญในการยกแท่งปูนและดำเนินงานที่มีความเสี่ยงสูง
ด้านนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้อย่างแน่ชัด แต่จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าโครงสร้างอาจรับน้ำหนักคอนกรีตไม่ไหว ซึ่งต้องรอการตรวจสอบจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 20 วันหลังจากการเคลียร์พื้นที่เสร็จ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และจะต้องมีการถอดบทเรียน เพื่อนำไปปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยให้รัดกุมมากขึ้น โดยกระทรวงคมนาคมจะต้องตรวจสอบทุกกระบวนการอย่างละเอียด และหากพบว่ามีผู้ใดละเลยหรือกระทำผิด จะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายและข้อสัญญาที่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยจะรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือไม่ นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า การที่ตนลาออกก็ไม่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ ต้องมาดูว่าตนละเว้นหรืออย่างไร พูดเอาสะใจได้ แต่ตนจะมั่นใจได้ว่าผู้ที่ทำงานบกพร่องหรือผู้ที่ประมาทนั้น และผู้เสียหายได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมผู้ที่ประมาทเองก็ต้องได้รับการชดใช้
ทั้งนี้ คาดว่าการจราจรในบริเวณดังกล่าว จะติดขัดอย่างหนัก ทางการทางพิเศษฯ จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว และปรับเวลาออกเดินทางให้เร็วขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาการจราจร