รวบอดีตแม่บ้าน สวมรอยเป็นกรรมการบริษัททิพย์ ออกใบกำกับภาษีปลอม กว่า 188 ฉบับ รัฐเสียหายมูลค่ากว่า 131 ล้านบาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ชุดปฏิบัติการที่ 4 กก.2 บก.ปอศ. ร่วมกันจับกุม นางสาวเยาวลักษณ์ อายุ 64 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัว ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับ ภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร”
พฤติการณ์ เนื่องด้วยกรมสรรพากรได้มาร้องทุกข์ที่ กก.2 บก.ปอศ. ให้พิจารณาดำเนินคดีอาญาความผิดกับ บริษัทแห่งหนึ่ง ในฐานะนิติบุคคล และ น.ส.เยาวลักษณ์ ฯ กรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทฯ หลังจากในช่วงเดือนตุลาคม 2566 บริษัท ดังกล่าว มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง แต่เจ้าพนักงานกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าว ไม่มีการประกอบกิจการ ณ สถานประกอบการดังกล่าวจริง โดยสถานที่ตั้งบริษัท มีลักษณะเป็นเพียงบ้านเช่า ไม่พบการประกอบกิจการของบริษัทฯ แต่อย่างใด สอบถามผู้อาศัยข้างเคียงให้การว่า บริษัทดังกล่าว ไม่ได้มีการประกอบกิจการแต่อย่างใด อีกทั้งไม่สามารถติดต่อได้
กรมสรรพากรจึงเชื่อได้ว่าบริษัทดังกล่าวมีการออกใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมา ไม่ได้มีเจตนาที่จะประกอบกิจการจริง ประกอบกับบริษัทดังกล่าวไม่ส่งมอบเอกสารให้เจ้าพนักงานกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบ แต่บริษัทดังกล่าวได้ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกช่วงเดือนภาษีสิงหาคม 2566 ถึงเดือนภาษีมีนาคม 2559 ให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ประกอบกับกรมสรรพากรได้รับแจ้งจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่ต่าง ๆ พบว่ามีใบกำกับภาษีขายที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ออกโดยบริษัทนี้ไปยังผู้ประกอบ เพื่อใช้ยื่นขอเครดิตภาษี (ขอคืน) ต่อกรมสรรพากร รวมใบกำกับภาษีจำนวน 188 ฉบับ ซึ่งใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น และไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริงแต่อย่างใด ซึ่งได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 131 ล้านบาท
ข้อมูลดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่า การออกใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นการออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3)
แห่งประมวลรัษฎากร จากนั้นพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. ได้อออกหมายเรียกเพื่อติดต่อตัวกรรมการมาทราบ ข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มีผู้ใดมาพบพนักงานสอบสวนตามที่ออกหมายเรียกไป จึงเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุญาตศาลเพื่อออกหมายจับ นำตัวกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
หลังจากที่ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนมาโดยตลอด ประกอบกับหมายจับใกล้จะหมดอายุความในอีก 2 เดือนเศษ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง จึงได้เร่งดำเนินการสืบสวนจนทราบว่า นางสาวเยาวลักษณ์ฯ ผู้ต้องหา อยู่ในพื้นที่ถ.ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จึงติดตามกระทั่งพบตัวผู้ต้องหา ทำการจับกุมและนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และให้รายละเอียดในคำให้การว่าตนไม่รู้จักบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด โดยให้การเพียงว่า เมื่อปี 2556 ตนเองประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป โดยทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งมีนายจ้าง (จำชื่อสกุลจริงไม่ได้) ได้มาขอบัตรประจำตัวประชาชนไปใช้เพื่อดำเนินการในเรื่องสวัสดิการให้ จึงไม่ทราบว่าจะนำมาใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าว