จ่อพิจารณาออกหมายจับ "ดิว อริสรา" หากมีพฤติกรรมหลบหนี ส่วนผู้ครอบครองทรัพย์สิน หากไม่ส่งทรัพย์สินคืนเป็นของกลาง เสี่ยงผิด "รับของโจร"
วันนี้ (20 มี.ค. 68) พ.ต.อ. เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผย ความคืบหน้าการเรียกสอบปากคำทนายความของ "มาดามเมนี่" เพิ่มเติมว่า วันนี้จะเป็นการสอบปากคำในทุกประเด็นที่ยังไม่ครบถ้วน เพื่อให้ชัดเจนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นมาอย่างไร
เบื้องต้นเป็นการสืบสวนคดียักยอกทรัพย์ก่อน และต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบพยานหลักฐานและเส้นทางการเงินก่อน เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ และยืนยันว่าคดีนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียก "ดิว อริสรา" แต่อย่างใด
ส่วนคดีนี้จะเป็นคดีอาญา หรือคดีแพ่งนั้น ต้องขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน เพราะกรณีเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นไปเป็นของตนเองหรือของผู้อื่นโดยทุจริต ก็จะเข้าเรื่องการยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีอาญา
แต่คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ยอมความได้ หากคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้ หรือคืนทรัพย์กันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเป็นคดีที่มีอัตราโทษไม่เกิน 3 ปี จึงต้องออกเป็นหมายเรียกก่อน เว้นแต่หากได้ข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง หรือผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว ก็สามารถออกหมายจับได้เลย
ส่วนทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ตอนนี้ไปอยู่กับบุคคลที่ 3 แล้วนั้น จะเข้าข่ายความผิดใดหรือไม่ พ.ต.อ. เอนก บอกว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาที่เจตนาว่าบุคคลที่ 3 รู้หรือไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นที่ได้ไปโดยการลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง หรือผิดกฎหมาย ก็จะเข้าข่ายเรื่องรับของโจรได้
หากตำรวจทราบว่าทรัพย์ของผู้เสียหายไปอยู่กับบุคคลใด ก็สามารถติดตามไปอายัดทรัพย์สินดังกล่าวได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่กับบุคคลสำคัญระดับสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน และถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้ไปจากการกระทำความผิด เป็นของกลางในทางคดี หรือหากบุคคลที่เก็บทรัพย์สินไว้ รู้ข่าวแล้วว่าเป็นทรัพย์สินของผู้เสียหาย พยายามยักย้ายถ่ายเท หรือปกปิดทรัพย์สิน ก็อาจเข้าข่ายรับของโจรได้เช่นกัน
ดังนั้นเส้นแบ่งของข้อหารับของโจร ก็ต้องดูพฤติการณ์ว่า รู้หรือไม่ รู้แล้วแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างไร หรือรู้แล้วพยายามปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์
ดังนั้นผู้ที่ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวไว้ ไม่ต้องถึงขั้นรอให้มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับบุคคลใด สามารถประสานตำรวจนำทรัพย์สินมามอบให้เป็นของกลางทางคดีได้เลย
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังไม่มีบุคคลใดประสานแสดงความบริสุทธิ์ใจมาว่าครอบครองทรัพย์สินของผู้เสียหายอยู่ ทั้งนี้ต้องขอสอบปากคำบุคคลปลายทางที่รับทรัพย์สินดังกล่าวไปก่อน และต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้รับของด้วย และหากบุคคลคลที่รับทรัพย์ไปจ่ายเงินค่าทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ก็สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องคดีทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายจาก "ดิว" ได้
ส่วนทนายความของ "ดิว" ทราบว่าได้ประสานจะเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ โดยคาดว่าเป็นการประสานงานเรื่องต่างๆ ก่อน เพราะตัว "ดิว" ก็ยังไม่ได้มาพบตำรวจในวันนี้
ส่วนกระแสข่าวที่กำลังขุดคุ้ยตั้งข้อสงสัยว่า "ดิว" อาจทำธุรกิจผิดกฎหมาย และตำรวจจะมีการขยายผลตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่นั้น ทางพันตำรวจเอกเอนกบอกเพียงว่า ขอตรวจสอบคดียักยอกทรัพย์นี้ก่อน