ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จับกุมขบวนการลักลอบทำไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าพุน้ำเค็ม ยึดของกลางเพียบ
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรบางสะพาน จนท.ฝ่ายปกครอง อ.บางสะพาน จ. ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกันจับกุม นายณรงค์ศักดิ์ อายุ 35 ปี คนขับรถ 10 ล้อ , นายมนตรี อายุ 41 ปี คนขับรถบรรทุก 12 ล้อ และแรงงานชาวเมียนมาอีก 19 คน ที่บ้านห้วยแก้ว ม.6 ต.พงศ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยกล่าวหาว่าประทำความผิดฐาน ทำไม้ หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2559 ประกอบมาตรา 33
ยึดของกลาง เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ จำนวน 5 เครื่อง รถแบ็คโฮ จำนวน 2 คัน รถ 10 ล้อพร้อมลากพ่วง จำนวน 1 คัน รถบรรทุก 12 ล้อ จำนวน 1 คัน รถแทรกเตอร์ (ล้อยาง) จำนวน 4 คัน แกลลอนน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมน้ำมันเบนซิน จำนวน 2 แกลลอน แกลอนน้ำมันเครื่องพร้อมน้ำมันเครื่องสำหรับเลี้ยงเลื่อยโซ่ยนต์ จำนวน 1 แกลลอน และลังเครื่องมือ จำนวน 1 ลัง
สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปทส.ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางสะพาน จนท.ฝ่ายปกครอง เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ร้องเรียน ว่ามีการลักลอบทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่บ้านห้วยแก้ว ม.6 ต.พงศ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติป่าพุน้ำเค็ม (พื้นที่นิคมสหกรณ์บางสะพานรับมาจัดสรรให้ประชาชน) พบว่ามีการตัดไม้ยางพาราเป็นบริเวณกว้างและพบกลุ่มบุคคลกำลังใช้เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ตัดไม้ยางพารา และช่วยกันเคลื่อนย้ายไม้ยางพาราที่ถูกตัดเป็นท่อนขึ้นรถบรรทุก คณะเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เข้าทำการจับกุมพร้อมนำตัวส่ง พงส.สภ.บางสะพาน จว.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
สอบถามคำให้การผู้ต้องหา เบื้องต้น ได้รับสารภาพว่าทำจริง เจ้าหน้าที่ฝากเตือนภัยว่า การลักลอบตัดไม้ในเขตนิคมสหกรณ์ ที่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แม้ได้อนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ แต่โดยสภาพยังคงเป็นพื้นที่ป่า กรณีทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตย่อมเป็นความผิด จำคุก 1 ปีถึง 10 ปี และปรับ 20,000 ถึง200,000 บาท