ครอบครัวสาววัย 22 ปี ถูกฆ่าโหดหั่นศพฝังดิน-ทิ้งน้ำ ในจังหวัดนครปฐม บุกโรงพักนครชัยศรี ดูหน้าสองผัวเมียมือหั่น ก่อนรุมประชาทัณฑ์ด้วยความโกรธแค้น จนเกิดความวุ่นวาย! ลั่นขอให้ได้รับโทษประหารชีวิต จะได้ไม่ไปทำแบบนี้กับคนอื่น
ขณะที่ตำรวจนำตัว “มิลค์” สอบเพิ่ม! เจ้าตัว แสดงทำท่าอ้วก ไม่ตอบคำถาม แต่พยักหน้าตอบรับเมื่อนักข่าวถามรู้สึกผิดหรือไม่ ด้านผู้กำกับการ สภ.นครชัยศรี เผย ผู้ต้องหายอมรับสารภาพแล้ว เป็นคนลงมือฆ่าปิดปาก เพราะเหตุเฉพาะหน้า-อารมณ์ฉุนเฉียว โดยเมียเป็นคนสั่งผัวให้บีบคอจนผู้ตายเสียชีวิต
ความคืบหน้าเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครปฐม กับคดีโหดฆ่าหั่นศพนางสาวปิยะวรรณ พงษ์เภา หรือ “แอน” อายุ 22 ปี หลังก่อนหน้านี้ผู้ตายหายตัวไปนานกว่า 18 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา สุดท้ายตำรวจตามเกาะรอยจากข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ จนสืบทราบว่า ผู้ก่อเหตุ คือ สองผัวเมียคนใกล้ชิดของผู้ตาย คือ นายณรงค์ชัย หรือ “เลย์” อายุ 26 ปี และนางสาวภัทราภรณ์ หรือ “มิลค์” อายุ 21 ปี
หลังก่อเหตุทั้งสองคน สวมรอยเป็นผู้ตาย พูดคุยกับสามีของผู้ตายตลอดเวลา รวมไปถึงยังหลอกให้โอนเงินมาใช้หนี้รวมเกือบ 70,000 บาทด้วย กระทั่งสามีเริ่มสงสัยและรู้สึกผิดสังเกตจากการพูดคุย เพราะอีกฝ่ายไม่ให้วิดิโอคอลเห็นหน้า จึงได้เข้าไปแจ้งความเอาไว้ที่ สภ.นครชัยศรี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ก่อนจะมาพบภรรยากลายเป็นศพเมื่อวานนี้ (22 มีนาคม 2568)
โดยจุดพบศพอยู่บริเวณหลังบ้านของนางสาวภัทราภรณ์ หรือ “มิลค์” ในพื้นที่ ตำบลดอนรวก อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ตำรวจพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ถูกเผาไฟและเอาไปฝังดินอำพราง ส่วนชิ้นเนื้อบางส่วน หลังเผาแล้ว ถูกนำไปโยนทิ้งน้ำ บริเวณประตูน้ำใกล้วัดพะเนียงแตก อำเภอเมืองนครปฐม
หลังจากนั้นตำรวจ สภ.นครชัยศรี ไปรับตัวผู้ต้องหาสองผัวเมียที่จังหวัดเชียงใหม่ มา สภ.นครชัยศรี ตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้ ในคดี ”ร่วมกันฉ้อโกง“ และอยู่ระหว่างรอตำรวจ สภ.ดอนตูน มารับตัวไปดำเนินคดีต่อ ในคดี “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น”
วันนี้ (23 มี.ค. 68) ครอบครัวของผู้ตายได้เดินทางมาที่ สภ.นครชัยศรี เป็นจำนวนมากด้วย เพื่อมารอเจอหน้าสองผัวเมีย ผู้ต้องหา ซึ่งนายลมโชย พ่อของผู้เสียชีวิต เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า “ความรู้สึกตอนนี้มันมีแต่ความแค้นเต็มอก และเสียใจมาก จนไม่อยากจะพูดอะไร หากเจอหน้าเขา ก็อยากจะถามว่า มาทำลูกผมขนาดนี้ทำไม ทำไปเพื่ออะไร”
ส่วนก่อนหน้านี้ลูกสาวเคยเสียเงินค่าชุดและค่าวุฒิปลอมให้กับเขา เพื่อไปทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ราว 5-6 พันบาท ทำไปได้ 2-3 วัน ก่อนที่ลูกสาวจะหายตัวไป
พอจะรู้ถึงพฤติกรรมของสองผู้ต้องหามาบ้างว่า เป็นตัวร้าย เคยก่อคดีมากมาย แต่ไม่คิดว่าจะมาทำแบบนี้กับลูกสาว ส่วน “เลย์” เป็นแฟนเก่าของลูกสาวที่เคยคบกันมานานเมื่อ 7 ปีก่อน และเขาเคยทำร้ายลูกสาว เพราะลูกสาวไปทำสร้อยคอเขาขาด เขาก็เลยซ้อมลูกสาว จนต้องแยกย้ายกันไป ซึ่งตัวเองเชื่อว่า "เลย์" น่าจะแค้นลูกสาว เพราะช่วงที่ลูกสาวยังเด็ก อายุประมาณ 13-14 ปี ตัวเองเคยเรียกค่าสินไหมเขา 60,000 บาท เพราะลูกสาวเราได้เสียกับเขาแล้ว แต่เขาให้มาเพียง 30,000 บาท อาจจะเป็นปมแค้นจนมาถึงวันนี้
นอกจากนี้ พ่อของผู้เสียชีวิต ยังยกมือไหว้ขอความเป็นธรรมให้กับลูกสาวด้วย โดยบอกกับนักข่าวว่า “ลูกผมจากไป ไม่ทันได้ร่ำลา ในวันที่เขาได้งานทำ ผมยังดีใจอยู่เลย ผมยังจะเลี้ยงลูกชาย วัย 4 ขวบให้เขา วันนี้ลูกสาวผมตาย ผมขอให้ประหารชีวิตเขา เพราะถ้าพวกมันอยู่ต่อไป มันจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก มันโหดเหี้ยมมาก
ขณะที่นางสาวขนิษฐา พี่สาวของผู้เสียชีวิต ระบุว่า น้องสาวรู้จักแค่กับ “เลย์” เพียงคนเดียว ส่วน “มิลค์” ไม่ได้รู้จัก แต่เชื่อว่า “มิลค์“ สวมรอยเป็นคนชื่อ “มุก” อ้างเป็นน้องสาวเลย์ แช็ตมาชวนให้น้องสาวไปทำงาน และหลอกให้โอนเงินค่าทำงานให้ สุดท้ายมาหลอกให้พี่สาวออกไปเอาเงินค่าแรง 15,000 บาทในวันที่ 4 มีนาคมอีก พร้อมอ้างว่าจะคืนเงินให้ เพราะน้องสาวไม่อยากทำงานต่อแล้ว แต่พอออกไป ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย โดยเขายังย้ำว่าให้พี่สาวเราออกไปคนเดียวด้วย
ส่วนตัวเชื่อว่าทั้งคู่ เตรียมการก่อเหตุมาก่อน วันนี้จึงอยากให้ตำรวจดำเนินคดีทั้งคู่ให้ถึงที่สุด อยากให้เขาทั้งคู่ได้รับโทษประหาร และอยากให้มันตายตามน้องสาวไป เพราะจิตใจเขาโหดเหี้ยมเกินมนุษย์
พี่สาวของผู้เสียชีวิต ยังบอกถึงน้องสาวด้วยว่า "อยากให้น้องกลับมา คิดถึง วันนี้พี้ช่วยหาน้องจนเจอ น้องมาเข้าฝัน 2 คืน และพาไปที่บ้านที่ถูกฝัง บอกว่าเขาอยู่ตรงนี้ ยืนยันไม่อโหสิกรรมให้คนที่มันทำกับน้องแน่นอน"
ขณะที่ช่วงเช้าที่ผ่านมา พันตำรวจเอกพายัพ โสธรางกูล ผู้กำกับการ สภ.นครชัยศรี ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจพบพิรุธของสองผัวเมียตั้งแต่ช่วงที่นำตัวเข้ามาสอบปากคำครั้งแรกแล้ว แต่ต้องปล่อยไป เนื่องจากไม่มีหลักฐาน
จนกระทั่งศาลจังหวัดนครปฐม อนุมัติหมายจับ จึงได้เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองราย ทั้งคู่ยอมรับสารภาพว่า “ได้ลงมือฆ่าปิดปากผู้ตาย เพราะเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า อารมณ์ฉุนเฉียวกัน จึงสั่งให้ “เลย์” บีบคอจนผู้ตายเสียชีวิต“ ก่อนทำการเผาร่างเพื่ออำพราง และขุดหลุมฝังดินบริเวณด้านหลังบ้าน
เบื้องต้นจากการสอบปากคำ ทั้งคู่ ยังยอมรับว่า หลังก่อเหตุได้หลบหนีไปที่ จ.เชียงใหม่ ไม่ได้มีญาติที่นั่น แต่ตัังใจหลบหนีไปอย่างไม่มีจุดหมาย โดยได้นำรถจักรยานยนต์ไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟ จ.พระนครศรีอยุธยา และขึ้นรถไฟเดินทางต่อไปที่ จ.เชียงใหม่
ส่วนการสอบปากคำ “มิลค์” ในช่วงเช้าวันนี้ เจ้าตัวอยู่ในภาวะเครียด จนอาเจียน และอ้างว่าเขาตั้งใจจะเดินทางกลับมามอบตัวอยู่แล้ว เนื่องจากรู้จักกับตำรวจที่ สภ.กำแพงแสน แต่มีเงื่อนไขว่าจะขอยื่นประกันตัว ส่วนที่ยังเดินทางกลับมาไม่ได้ เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาได้
นอกจากนี้ ช่วงหนึ่งตำรวจได้นำตัว “มิลค์“ ออกมาจากห้องควบคุมผู้ต้องหา เพื่อขึ้นไปสอบปากคำเพิ่มเติม บริเวณชั้น 2 ของโรงพัก ระหว่างนั้นนักข่าวพยายามสอบถามถึงสาเหตุของการก่อเหตุครั้งนี้ และรู้สึกผิดหรือไม่? เจ้าตัว เงียบ ก้มหน้า ไม่ตอบอะไร ทำท่าเหมือนจะเป็นลมตลอดเวลา
ขณะที่หลังจากสอบปากคำเสร็จแล้ว ตำรวจได้นำตัว "มิลค์" ลงมาเข้าห้องควบคุมผู้ต้องหา ครั้งนี้เจ้าตัวถือถุงอ้วกติดมือลงมาด้วย เพราะในระหว่างให้การ เจ้าตัวแสดง ทำเป็นอ้วกตลอดเวลา / โดยช่วงที่ตำรวจคุมตัว "มิลค์" ลงมา เจ้าตัวไม่ตอบคำถามใดๆ แต่มีจังหวะที่พยักหน้าตอบรับ เมื่อนักข่าวถามว่ารู้สึกผิดหรือไม่
ต่อมาตำรวจได้นำตัว “เลย์” ขึ้นไปให้ปากคำเพิ่มเติม โดยช่วงที่นำตัวออกมา นักข่าวพยายามเข้าไปสอบถามว่า “เลย๋” เป็นคนสั่งให้เราบีบคอผู้ตายจริงหรือไม่ รวมไปถึงรู้สึกผิดหรือไม่ แต่เจ้าตัวไม่ตอบคำถามใด ๆ ซึ่งในระหว่างเดินขึ้นไปชั้น 2 ครอบครัวคนตายที่รอเจอหน้าผู้ต้องหาอยู่ด้านข้างโรงพักอยู่แล้ว ได้วิ่งปรี่้เข้ามารุมประชาทัณฑ์ “เลย์” ทันที ด้วยความโกรธแค้น จนเกิดความวุ่นวายขึ้น ทำให้ตำรวจต้องแยกตัว “เลย์” รีบขึ้นไปห้องสอบสวนทันทึ