นายกฯอิ๊งค์ ชี้แจงฝ่ายค้าน ปราบคอลเซนเตอร์-ที่ดินเขาใหญ่ รับ ”ดิจิทัลวอลเลต“ ไม่ตรงปกแต่ตรงเป้า โต้ดีลปีศาจให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่จริง 100% หาก “ก้าวไกล” เป็นแกนนำรัฐบาลพ่อก็ตั้งใจกลับไทย แต่พูดเท่าไหร่ก็คงไม่เชื่อ ลั่นภูมิใจเป็นลูกสาวทักษิณ ขอให้วิจารณ์กันที่ผลงาน ความตั้งใจจริงในการทำงาน ลาออกจากความเป็นลูกไม่ได้
วันนี้ (25 มี.ค.68) เวลา 15.40 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงครั้งแรก ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 2 ว่า ได้มีการผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว 1 วัน ซึ่งก็มีเสียงเรียกร้องจากพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้ชี้แจงยาว ๆ ซึ่งตนก็อยากจะชี้แจง ในสาระที่สำคัญเพื่อใช้เวลาของสภาฯ ให้คุ้มค่าที่สุด และอีกหนึ่งเหตุผล ในการอภิปรายวานนี้ (24มี.ค.68) บางคนอภิปรายเรื่องของคนอื่น หรืออภิปรายรัฐบาลอื่น ตนไม่แน่ใจว่าจะตอบเช่นไรดี
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายที่ผ่านมามีสมาชิกที่อภิปรายเรื่องที่ดินของโรงแรม เทมส์ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รวมถึงนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมฯ ได้ชี้แจงไปแล้ว รวมถึงกรมที่ดิน ที่ได้ชี้แจงถึงการออกโฉนดที่ดินว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฏหมาย และบริษัทของครอบครัวตนได้ทำถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง
ส่วนเรื่องคอลเซนเตอร์ รัฐบาลได้ดำเนินการไปไกลมาก เป็นการทำต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ที่มีการประสานมือ ประสานงาน ประสานแรงกำลังต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา กัมพูชา และจีน ทั้งจับ ปราบ และตัดไฟฟ้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เรื่องการตัดไฟฟ้า ตัด อินเทอร์เน็ต งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รับคำชื่นชมจากรัฐบาลจีน ว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด และดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการชมจากนาย สี จินผิง ประธานาธิบดีประเทศจีน ถือเป็นความน่าภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน โดยฝ่ายจีนเป็นคนให้การสนับสนุนเรื่องข้อมูล และการข่าวต่าง ๆ ปัญหาของแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เกิดจากความร่วมมือจากหลายประเทศ รวมไปถึงเรื่องซีลชายแดน ที่ต้องขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็หวังว่าฝ่ายค้านจะเข้าใจการทำงานแบบทีมเวิร์ก และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ผลจากการปราบปรามทำให้ยอดคดี การแจ้งความคดีอาชญากรรมทางออนไลน์ลดลงไปถึง 50% หรือเหลือมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยรัฐบาลจะทำให้เข้มข้นมากขึ้น ขณะนี้โดยขณะนี้สิ่งที่เร่งรัดอยู่ เช่น ร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกา
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ถือเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล โดยเรือธงลำนี้กำลังเผชิญมรสุม มีเสียงคัดค้านจากหลายองค์กร รัฐบาลรับฟังทุกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ โดยโครงการนี้ รัฐบาลพยายามประคับประคองอย่างดี เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ใน 2 รอบแรก มีความจำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสด แม้ถูกมองไม่ตรงปก แต่ยืนยันว่า ตรงเป้าแน่นอน เพราะตามข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจว่า ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น
ส่วนรอบ 3 ที่ใกล้จะมาถึงแล้วถือเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เต็มรูปแบบ จะมีการพัฒนาระบบ และทดลองใช้อย่างถูกต้อง เริ่มต้นจากเยาวชนอายุ 16-20 ปี ถือว่ามีพลังในการบริโภค และตื่นตัวทางเทคโนโลยี สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว เพื่อให้พ่อแม่ได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของโครงการนี้ จึงต้องการยกระดับสังคมไทยให้เป็นสังคมดิจิทัล โดยเชื่อว่าภายใน 1 วาระของรัฐบาลนี้จะเกิดผลเป็นรูปธรรม ‘ปกก็ตรง เป้าก็โดน’ และเศรษฐกิจที่เกิดวิกฤตยาวนานต่อเนื่อง 10 ปี หากทำแบบเดิมไม่มีวิธีการใหม่ก็จะเกิดโอกาสพัฒนาได้ยาก ฉะนั้นจะต้องมีการอัปเดตวิธีใหม่ ๆ
นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงกรณีชั้น 14 ว่า ทราบว่า สมาชิกฝ่ายค้านที่อภิปรายเรื่องนี้ กับตนก็มีความคิดเห็นที่ต่างกัน เพราะท่านก็เคยไปมีความเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรที่ภูเก็ต แต่ตนก็เชื่อมั่นว่า คงไม่ได้ใช้ความอารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นมาอภิปรายตนในวันนี้
“เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รมว. ยุติธรรม ได้พูดในรายละเอียดไปหมดแล้ว แต่อยากชี้แจงรายละเอียดในฐานะลูกสาวคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่คุณพ่อกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยจนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล ชั้น 14 ตนยังไม่ได้เป็นนายกฯ จึงไม่อยากให้อภิปรายให้เกิดความสับสนเหมือนกับว่า ตนเป็นนายกฯ แล้ว และมีอำนาจสั่งการข้าราชการหรือสั่งใคร ตอนนั้นเป็นเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ไม่มีอำนาจใด ๆ และอภิปรายแบบนี้ต้องเห็นค่าของผู้ที่รักษากฎหมาย คนที่เป็นข้าราชการ เพราะการพูดแบบนี้เหมือนเป็นการด้อยค่าไปด้วยในตัว”
นายกฯ กล่าวอีกว่า เชื่ออย่างยิ่งว่า ลูกคนไหนก็ตามที่เห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อซึ่งผ่านมาเกือบ 20 ปีไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สถานการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาในรอบ 20 ปีของประเทศ เราทุกคนทราบดีถึงความยากลำบาก ซึ่งพี่น้องประชาชนได้ประสบมาในเรื่องของความยุติธรรม ถ้าจะหาใครสักคนที่เผชิญเรื่องของความอยุติธรรม นายทักษิณคือหนึ่งในคนท็อป ๆ ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกยึดอำนาจทางการเมือง และยังถูกอายัดทรัพย์สิน ถูกลอบสังหารหลายรอบ
“ตอนนั้นตนอยู่มหาวิทยาลัยก็ทราบว่า พ่อถูกลอบสังหาร แต่สมัยนั้นเครื่องมือสื่อสารไม่ดีเหมือนสมัยนี้ พอเราได้ยินมาเด็กอายุ 18 -19 คนหนึ่งที่ทราบว่า มีคนตั้งใจจะสังหาร ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดี แต่ว่าในวันนั้นก็ไม่ทราบด้วยว่า เกิดอะไรขึ้นได้ยินแค่ข่าวก็ต้องรออีกสักพักถึงจะทราบว่า สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ เหตุการณ์ที่ต้องลุ้นแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เป็นสิ่งที่เกิดความเจ็บปวดในครอบครัว”
นอกจากนี้ ก็ยังถูกพลัดพลาดไปไกลกันอยู่คนละประเทศ เวลาผ่านมาสักพักตนพยายามที่จะเดินทางไปหาคุณพ่อบ่อย ๆ เพื่อไม่ต้องคิดถึงกันมากเกินไป และแน่นอนว่า ความไม่ยุติธรรมเหล่านี้ ทำให้ครอบครัวเราที่สนิทกันอยู่แล้วก็รักกันมากยิ่งขึ้นเพราะผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน และเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีสติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า มีสมาชิกสภาฯ กล่าวหาว่าคุณพ่อได้กลับมาเพราะมีการดีลกับปีศาจ ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งก็ 100% ไม่ใช่ความจริง เพราะนี่คือการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มรูปแบบว่า จะกลับมา ตนที่รู้จักคุณพ่อดีก็ไม่อยากให้กลับมาแล้วติดคุกหรือถูกจำกัดที่ทาง หรืออะไรก็ตาม ตนก็บอกว่า ไม่เป็นไรมาอยู่เมืองนอกก็ได้ เดี๋ยวเราก็เจอกันได้ แต่ท่านก็บอกว่าท่านอยากใช้เวลาที่เหลือของท่าน เพราะปีนี้ก็ 75 ปีแล้ว อยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย และมีความรัก ความห่วงพี่น้องประชาชนอย่างมาก คิดอะไรก็จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ คิดให้พี่น้องประชาชนรวย ตนฟังท่านแล้วก็มีแพสชัน มีแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะจริง ๆ คนเราเจอเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่ก็ยังคิดเรื่องนี้ดี ๆ กับคนอื่นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังบวกเยอะ
ทั้งนี้ถ้าวันนั้น เพื่อไทยและก้าวไกล จับมือกันสำเร็จตั้งรัฐบาลได้ ท่านเป็นผู้นำรัฐบาล ส่วนพวกเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไร งนายทักษิณก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นรัฐบาลที่จัดตั้งโดยใคร นี่คือเรื่องจริงที่คุณพ่อตั้งใจแล้วว่าจะกลับมาให้ได้
ส่วนเรื่องของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นสิทธิของผู้ต้องคดีความ ซึ่งมีขั้นตอนมีกระบวนการต่าง ๆ ที่ตนไม่ขอก้าวล่วง และหากจะพูดเรื่องป่วย จะป่วยจริง หรือป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่า คุณพ่อป่วยต้องรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ถือเป็นสิ่งที่ชัดเจน และถ้าจะบอกว่าอายุ 70 ขึ้นไปต้องผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดก็ไม่ได้ง่ายเหมือนคนอายุ 20 ปี หรือ 30 ปี หรือ 40 ปี ตนก็ไม่ทราบว่าจะต้องอธิบายแบบไหน ตอนนี้เราได้ยื่นเรื่องตรวจสอบต่อแพทย์สภา เชื่อว่าไม่นานก็มีผลสรุปออกมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะยอมรับ เมื่อท่านอภิปรายถาม ตนตอบท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี จึงไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร
“เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบในกรณีของนายทักษิณในกรณีต่าง ๆ ในฐานะลูก ตนห่วงใยแน่นอน ตนเป็นลูกสาวที่รักคุณพ่อถ้าต่างประเทศอาจจะเรียกว่า Dad’s girl ตนเป็นแบบนั้นแน่นอน Dad’s girl 100%”
นายกฯ กล่าวต่อว่า ตลอดการอภิปรายท่านสมาชิกมีการเรียกร้องให้ตนลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเป็นสิทธิของทุกท่านในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ ทุกคนทำได้ แต่การขอให้ตนลาออกจากความเป็นลูกสาว หรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ตนลาออกไม่ได้ ตนพร้อมที่จะทำงานให้กับทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกจังหวัด ทุกที่ เพราะตนสวมหมวกของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ตนทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่และสุดความสามารถแน่นอน
ในขณะเดียวกันในฐานะของลูกสาวตน ก็คือลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ตนพูดคำนี้ด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่สามารถพูดได้ จึงขอให้ทุกคนดู พิสูจน์ที่ความสามารถและความตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ของตน ในฐานะนายกรัฐมนตรี หากจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อภิปรายใด ๆ ก็ขอให้วิจารณ์ในเรื่องของการทำงานก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าทั้งต่อสภาแห่งนี้ และต่อประเทศของเราด้วย
ภายหลังการชี้แจงของนายกฯ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ใช้สิทธิถูกพาดพิงในประเด็นที่ถูกว่า เป็นพันธมิตรจังหวัดภูเก็ต ว่า โดยยืนยันว่า ในช่วงชีวิตไม่เคยเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรทั้งที่กรุงเทพฯ และที่ภูเก็ต ไม่มีความเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของกลุ่มพันธมิตร หากมีความคิดใกล้เคียงที่สุดคือ การที่เขาไปเรียกร้องประชาธิปไตย ที่นิยามตัวเองว่า คนเสื้อแดง แต่ตนก็ไม่เคยนิยามตัวเองว่า เป็นคนเสื้อแดง เพราะตนมีความตะขิดตะขวง ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อของนายกฯ ทำหลายเรื่อง และจากนั้นก็มีการรัฐประหารเกิดขึ้นที่ยึดอำนาจไปจากอาของท่าน ตัวผมคือคนแรกที่ออกมาต่อต้าน ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงนายรังสิมันต์ อีกครั้งว่า ขอบคุณในการชี้แจง ตนพร้อมรับข้อมูลใหม่ ๆ เสมอ ไม่เป็นไร นายรังสิมันต์จะได้เข้าใจว่า การถูกเข้าใจผิดเป็นอย่างไร