หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็ก 25 เปอร์เซ็นต์ โดยจะเริ่มมีผลสัปดาห์หน้า ขณะที่ ภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 พฤษภาคม ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนและหลายชาติออกมาแสดงความกังวล
รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก ระบุว่า มาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ จะนำไปสู่การ "ขึ้นราคาครั้งใหญ่" สำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ขณะที่ สหภาพยุโรปจะหามาตรการตอบโต้ต่อไป
ด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส กล่าวว่า เขาได้แจ้งต่อผู้นำสหรัฐฯ แล้วว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าว "ไม่ใช่ความคิดที่ดี" เพราะการเก็บภาษีจะทำลายห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และสร้างผลกระทบด้านเงินเฟ้อในระยะสั้น รวมทั้งทำลายงาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือยุโรป
นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ระบุว่า ญี่ปุ่นจะมีการมีการพิจารณาแนวทางทั้งหมดในการรับมือกับมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ
ด้านรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า จะมีการเรียกหารือเพื่อออกมาตรการตอบโต้ฉุกเฉินต่อสหรัฐฯ ภายในเดือนเมษายนนี้ โดยคาดว่าภาคยานยนต์จะต้องเผชิญกับ "ความยากลำบากอย่างมาก"
ขณะที่ กระทรวงต่างประเทศของจีนแถลงว่า แผนการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นการละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) และจะไม่อาจแก้ปัญหาของสหรัฐฯ ได้ และจะไม่มีชาติใดได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น
ด้านนายไบรอัน มูดดี (Brian Moody) บรรณาธิการบริหารของ "ออโตเทรดเดอร์" (Autotrader) วิเคราะห์ว่า ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้ารถยนต์อีก 25 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าโรงงานเหล่านี้จะผลักภาระบางส่วนให้กับผู้บริโภค เพราะไม่มีทางที่ผู้ผลิตรถยนต์จะแบกรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีความแน่ชัดว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายเงินมากขึ้นอีกกี่เปอร์เซ็นต์