พ่อผู้สูญหาย ขอของขวัญวันเกิด ครั้งแรกในชีวิต อายุครบ 70 ปี ขอให้ลูกชายที่ทำงานอยู่ที่ตึก สตง.ถล่ม ให้อยู่รอดปลอดภัยกลับมาบ้าน ตอนนี้ยังคงมีความหวัง แม้จะริบหรี่เพียงใดก็ตาม
จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหว ในประเทศเมียนมา โดยแรงสั่นสะเทือนบางส่วนรับรู้ได้ถึงประเทศไทย จนเป็นเหตุให้ตึก สตง. ขนาดความสูง30 ชั้นที่อยู่ระหว่าง การก่อสร้าง พังถล่มลงมา มีแรงงานติดอยู่ในซากตึกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มช่างไฟ อายุ 35 ปี เข้าไปทำงานที่ตึก สตง. ได้เพียง 1 เดือน ก่อนตึกถล่ม พ่อวัย70 ปี ขอของขวัญวันเกิดครั้งแรกในชีวิต ขอให้ลูกชายอยู่รอดปลอดภัยกลับมาบ้าน ยังคงมีความหวังแม้จะริบหรี่เพียงใดก็ตาม ขณะที่หนุ่มช่างไฟวัย35 อีกรายชาวบ้านเดียวกัน รอดหวุดหวิด เพราะแม่โทรตามให้เข้ามาช่วยสร้างบ้าน
มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความ “จะเข้าสู่วันที่5แล้วน่ะหนึ่ง เจ้าอยู่ไสน้อ” พร้อมภาพขณะพี่ชายของเธอกำลังทำงานภายในตึก สตง. ชั้นที่ 21 ก่อนที่ตึกทั้งตึกจะถล่มลงมา และจนขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อพี่ชายได้ ,ขณะที่อีกโพสต์ เธอโพสข้อความ “สาธุๆ ขอให้รอดปลอดภัยเด้อหนึ่ง” พร้อมภาพ 5 ชีวิตเพื่อนร่วมงานที่เข้าทำงานด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย นายอมรฤทธิ์ นางอนุสรา ,นายขวัญชัย และนายสาธิตซึ่งทั้ง 4 เป็นเครือญาติกัน ส่วนอีกคนไม่ทราบชื่อ โดยมีเพียง 1 คน ที่สามารถติดต่อได้ คือนายอมรฤทธิ์
ผู้สื่อข่าวประสานงานกับผู้โพสต์ จนทราบว่าเธอชื้อน้องน้ำ เป็นน้องสาวของนายขวัญชัย ทำงานเป็นช่างไฟฟ้า อยู่ในตึก สตง. ชั้นที่ 21 และขณะนี้น้องน้ำ อยู่ที่จุดตึกถล่ม เพื่อรอการค้นพบพี่ชายของเธอ
ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ไปยัง บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่6 บ้านหนองนกเขียด ต.กุดกว้าง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ได้พบกับ คุณตาชาย เหลาเพ็ง อายุ70 ปี พ่อของน้องน้ำ และนายขวัญชัย ผู้สูญหาย โดยคุณตาชาย เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองมีลูก 2 คน คือ นายขวัญชัย ลูกชายคนโต และน้องน้ำ ลูกสาวคนเล็ก ซึ่งทั้งสองทำงานอยู่กรุงเทพ โดยนายขวัญชัย เป็นคนขยันทำงาน เป็นเสาหลังของครอบครัว ทำงานรับจ้างทุกอย่างในหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เวลาทำงาน ได้เงินมาก็จะเอาเงินมายัดใส่มือพ่อแม่เสมอ โดยก่อนหน้านี้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นช่างไฟฟ้า และเพิ่งย้ายเข้ามาทำงานที่ตึง สตง. ได้เพียง 1 เดือน โดยมีญาติๆชวนให้มาทำงานติดตั้งระบบไฟฟ้า โดยได้ค่าแรงวันล่ะ 500 บาท ทั้งนี้ นายขวัญชัย ผู้สูญหาย เพิ่งกลับมาเยี่ยมตนเองที่ป่วย แล้วพอตัวเองดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ นายขวัญชัยจึงกลับไปทำงานพร้อมพี่ๆเมื่อประมาณวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งก็เพียง 2 วัน ก็เกิดเรื่องขึ้น
คุณตาชาย บอกว่า หลังทราบเหตุ ก็ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก ซึ่งพอลูกสาว โทรมาบอกว่า ยังมีสัญญาณชีพของคนที่ยังติดอยู่ใต้อาคารนี้ พ่อเองรู้สึกดีใจมาก คิดว่าลูกน่าจะรอด พร้อมทั้งกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวต้องใช้ผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดน้ำตา ทั้งนี้ลูกชาย ปกติ อยู่ที่บ้าน ลูกชายจะคล้องพระ เหรียญห้อยคอไว้ตลอดเวลา ซึ่งก็มีหลาย เกจิอาจารย์ที่ลูกชาย เคารพนับถือ แต่วันที่ลูกชายเดินทางไปตนเองกลับไม่เห็น แต่หิ้งพระที่บ้านก็ไม่มีสร้อย พระของลูกชาย จึงคิดว่าลูกชายน่าจะเอาไปด้วย ตอนนี้เป็นห่วงลูกชายมาก เมื่อวานวันที่ 1 เมษายน เป็นวันครบรอบอายุ 70 ปีเต็ม ซึ่งตนเองไม่เคยขอของขวัญอะไร เพราะขอไม่เป็น แต่ปีนี้ตนอยากจะขอของขวัญจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากได้ของขวัญ เป็นลูกชาย มีชีวิต รอดปลอดภัย กลับคืนมาบ้านซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่คิดอยู่ตอนนี้ เพียงข้อเดียวที่คิดอยู่ตอนนี้ คือขอให้ลูกชาย อยู่รอดปลอดภัย กลับมาบ้านเท่านั้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 44 หมู่บ้านเดียวกัน เพื่อพบกบพบกับนางลลิตา มอบทองหลาง อายุ 52 ปี และนายอมรฤทธิ์ อนารัตน์ หรือเอ็ม อายุ 35 ปี ลูกชาย ซึ่งรอดจากตึกถล่มอย่างหวุดหวิด เพราะแม่โทรตามให้มาช่วงสร้างบ้านที่บ้าน
นางลลิต เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังอีกว่า ปกติตนเองทำงานที่กรุงเทพฯเช่นกัน พอเก็บเงินได้ จึงกลับมาปรับปรุงบ้านหลังเดิมซึ่งทรุดโทรม แต่เพราะมีเงินไม่มาก และลูกชายก็เป็นช่างอยู่แล้ว จึงโทรตามลูกชายให้กลับขึ้นมา เพื่อมาช่วยสร้างบ้าน เป็นจังหวะพอดีกับเกิดเหตุตึกถล่ม เหมือนกับว่ายังมีบุญคุ้มครองอยู่ เพราะปกติลูกชายก็จะทำงานอยู่กับ ญาติๆ กลุ่มที่เป็นผู้สูญหายอีก3คนเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย นายสาธิต เหล่าทา อายุ32 ปีและนางอนุสรา พรหมมา อายุ33ปี ชาวบ้านโคกสง่า สองสามีภรรยาผู้รับเหมา ซึ่งเป็นญาติกัน และนายขวัญชัย เหลาเพ็ง อายุ 35ปี ซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งทั้ง3ยังไม่สามารถติดต่อได้ โดยปกติเวลารับเหมางานไฟฟ้าได้ ก็จะไปทำงานกินอยู่ด้วยกันตลอด ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากนายสาธิต ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง ของนายอมรฤทธิ์ ลูกชาย รับเหมางานได้ ก็ชักชวนกันไปทำงานตามปกติ โดยเริ่มเข้าทำงานที่ตึกดังกล่าวราวต้นเดือนมีนา โดยลูกชายก็จะไปๆมาๆ ช่วงก่อนเกิดเหตุ ตนเองเห็นว่าไม่มีใครช่วยสร้างบ้าน จึงโทรตามลูกชายให้ลงมาช่วยแม่สักหน่อย ซึ่งลูกชายก็กลับมาบ้านช่วยตนสร้างบ้าน ก็ถือว่าลูกยังมีบุญอยู่ถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ
นางลลิตาบอกอกว่า หลังเกิดเหตุตนเองรู้สึกดีใจมากที่ลูกชายไม่ได้ลงไป เพราะ ถ้าเกิดว่าไม่เรียกตัวลูกขึ้นมา ก็คงจะได้ยินข่าวลูกชายของตนเอง เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ถ้าหากลงไป เพราะปกติ ก็จะทำงานอยู่ด้วยกันตลอด เคยอยู่เคยกินด้วยกัน เพราะหัวหน้าคนรับงานก็เป็นเหมือน น้องชายของลูกชายตน อยู่ด้วยกันกินด้วยกัน เมื่อมีงานจึงเรียกน้องลงไปช่วย รวมถึงแรงงานที่อยู่บ้านโคกสง่า ก็เป็นพี่น้องกัน เป็นลูกเป็นหลานกัน ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรม