การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อถูกงูกัด

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อถูกงูกัด

View icon 94
วันที่ 8 พ.ค. 2568 | 19.16 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ช่วงนี้ฤดูฝน สัตว์ต่าง ๆ มักหาที่หลบฝนตามธรรมชาติ รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานมีพิษเช่นงู ซึ่งเป็นอันตราย มาดูการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อถูกงูกัด เพื่อการระมัดระวังที่เหมาะสม

งูพิษในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

1) งูพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูจงอาง งูเห่า งูทัยสมิงคลา งูสามเหลี่ยม : ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้มีอาการหนังตาตก พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ อ่อนแรง และอาจหายใจล้มเหลวได้

2) งูพิษต่อระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ : ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้มีเกล็ดเลือดต่ำ การแข็งตัวของเลือดช้าผิดปกติ ทำให้มีเลือดออกง่ายและหยุดยากได้ โดยอาจมีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะเป็นสีดำ รวมทั้งอาจมีเลือดปน

3) งูพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล : ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อรุนแรง (rhabdomyolysis) ซึ่งนำไปสู่ภาวะไตวายได้

สิ่งที่ห้ามทำเวลาถูกงูกัด

1. อย่าดูดพิษจากแผล มันดูดออกไม่ได้มากพอที่จะสร้างความแตกต่างในการเกิด systemic toxicity และมีความเสียงที่จะทำให้แผลติดเชื้อ อีกทั้งหากหากดูดพิษออกมาได้พิษก็จะสัมผัส oral mucosa ซึ่งอาจมีแผลเล็ก ๆ อยู่ ผู้ดูดพิษอาจจะได้รับ toxin โดยเฉพาะ local toxin ในงูเห่า งูจงอาง งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ ทำให้ปากและหน้าบวมได้

2. อย่าเอาดิน หรือสมุนไพรโปะแผล รวมถึง อย่าไปเอาน้ำมนต์ น้ำใด ๆ มาบ้วนหรือเป่าใส่แผล เดี๋ยวจะติดเชื้อ

3. อย่าเอาไฟจี้ อย่าเอาไฟฟ้ามาช๊อต อย่าเอาน้ำแข็งหรือน้ำแข็งแห้งมาโปะแผล ไม่งั้นจะได้

4. อย่าขันชะเนาะ เพราะมันจะกดทับการไหลของในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง และขาดเลือดมากขึ้น อีกทั้งพอคลายออกขยับแขน-ขา พิษก็ดูดซึมตามระบบน้ำเหลืองต่อไปอยู่ดี

5. อย่ากรีดแผล เพราะไม่ได้ประโยชน์ แถมยังเจ็บ และเพิ่มงานต้องมาทำแผลที่กรีด เสี่ยงการติดเชื้อ

6. อย่าพยายามจับงูมา หากจับมาแล้วให้แน่ในว่าตาย แม้ว่าตายแล้วก็อย่าเอามาเล่น

7. ไม่ต้องพยายามกินน้ำมะนาว หรือเอาน้ำมะนาวมาหยดแผล ไม่ช่วย

8. ห้ามดื่มของมึนเมา เนื่องจากอาจเกิดการสำลักและอาเจียน หรืออาจทำให้แยกได้ยากว่าอ่อนแรงจริงหรือเมาแล้วตาปรือ พูดไม่ชัดได้

ควรทำอย่างไร ถ้าถูกงูกัด

1. ตั้งสติ

2. พยายามไปโรงพยาบาลใกล้เคียงให้เร็วที่สุด โดยพยายามผู้ถูกกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุดอย่าวิ่งเพื่อไม่ให้มีการไหลเวียนและกระจายของพิษเร็ว เพราะตัวพิษดูดซึมทางระบบน้ำเหลืองและกระจายโดยระบบไหลเวียนโลหิต หากมีการขยับแขนหรือขาที่ถูกกัดมากจะดูดซึมไวขึ้น หากชีพจรไวก็จะมีการกระจายพิษได้ไวขึ้น

3. กรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นก่อน หากไม่ทราบวิธีการโทรเรียกการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 หรือรีบพาส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

4. หากผู้ถูกกัดเริ่มมีอ่อนแรง พูดไม่ชัด หนังตาตก ให้ป้องกันการสำลักและเปิดทางเดินหายใจโดยจัดให้นอนตะแคงหันหน้าไปด้านข้าง

5. หากผู้ถูกกัดมีเลือดออก ให้ห้ามเลือดโดยการเอาผ้าสะอาดกดบาดแผลไว้

6. ไม่ต้องพยายามวิ่งไล่จับงูมา เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงการถูกกัดซ้ำ หรือเพื่อนที่พยายามจับอาจกลายเป็นผู้ป่วยรายถัดไปได้ ปัจจุบันเชื่อว่าเกือบทุกคนมีมือถือที่ถ่ายรูปได้ ให้ถอยห่าง ๆ เดินวนไกล ๆ ถ่ายรูปงูทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ซูมถ่ายส่วนหัวทั้ง 2 ด้าน เท่านี้ก็เพียงพอในการช่วย identify แล้ว หากไม่แน่ใจโทรมาปรึกษาที่ 1367 ศูนย์พิษรามา เพื่อร่วมประเมินอาการและให้คำแนะนำ

7. สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ หากท่านได้รับงู หรือถุงใส่งูมาแล้ว ทำให้แน่ใจว่างูตายซะก่อน จะได้ไม่มีเหตุการณ์งูหลุดใน ร.พ. แม้งูตายแล้วก็อย่าเอามาเล่น อย่าเอามือล้วงไปหยิบ เปิดถุงโดยถุงไม่หันเข้าหาตัว เทออกจากถุง อาจหาอุปกรณ์ ไม้กวาดยาว ๆ เนื่องจากงูตายแล้วยังมี reflex อยู่ยังงับได้อยู่ เหมือนศพกระตุก ฉะนั้นอย่าถือเอาไปแกล้งกันเองเดี๋ยวจะถูกกัดจริง

8. ทำความสะอาดแผลที่ถูกงูกัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่น แอลกอฮอล์หรือทิงเจอร์ไอโอดีน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง