20 พ.ค. 68 เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ยอดรัก กิตติลัภนะรัตน์ รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุมนายสมบัติ อายุ 45 ปี ชาว จ.นครปฐม ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ สีฟ้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ,เงินสดกว่า 47,000 บาท และอุปกรณ์ช่างอีกหลายรายการ โดยจับกุมได้บริเวณลานจอดรถจักรยานยนต์ ในเคหะชุมชนบ่อนไก่ ซอยปลูกจิต 1 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความว่าถูกคนร้ายงัดประตูห้องพักในซอยร่วมพัฒนา 9 ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ ก่อนขโมยทรัพย์สินรวมถึงเงินในกระปุกออมสินไปกว่า 2,500 บาท จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ของกลาง ขี่เข้ามาก่อเหตุ ก่อนหลบหนีไป
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ารถดังกล่าวสวมทะเบียน จึงได้ติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด กระทั่งทราบว่าคนร้ายไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เปลี่ยนที่อยู่หลบซ่อนอยู่เรื่อย ๆ คล้ายคนเร่ร่อน จนกระทั่งพบเบาะแสว่าคนร้ายนำรถที่ใช้ก่อเหตุไปจอดไว้ในเคหะบ่อนไก่ เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าสังเกตการณ์กระทั่งช่วงเช้าเวลา 07.00 น. พบผู้ต้องหาเดินมาที่รถ เตรียมออกตระเวนก่อเหตุอีกครั้ง จึงแสดงตัวเข้าจับกุม
จากการตรวจค้นในกระเป๋า พบอุปกรณ์งัดแงะและเงินสดกว่า 47,000 บาท พบว่า ผู้ต้องหาได้โอนให้หญิงสาวคาราโอเกะ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามเงินคืนมาได้บางส่วน ส่วนทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ทองรูปพรรณและของมีค่าอีกหลายรายการ ที่ผู้ต้องหานำไปขายหรือจำนำ คาดว่ามีมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามคืน
ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เพิ่งพ้นโทษจากคดีลักทรัพย์ในพื้นที่ สน.บางบอน เมื่อปีที่แล้ว และเคยทำงานเป็น รปภ. ก่อนตกงาน จึงหวนกลับมาก่อเหตุ โดยใช้วิธีขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนหอพัก ทำทีนำอาหารมาให้แมวจรจัด เพื่อไม่ให้คนสงสัย จากนั้นจึงอาศัยจังหวะลงมืองัดห้องขโมยทรัพย์สิน ก่อนเปลี่ยนป้ายทะเบียนและหลบหนีไปพักตามจุดต่าง ๆ ใต้สะพานหรือเคหะชุมชน เพื่อให้ยากต่อการติดตาม ส่วนเงินที่ได้จะนำไปใช้จ่ายส่วนตัวและเที่ยวผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อคำให้การว่าก่อเหตุเพียง 2 ครั้ง เนื่องจากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับเหตุลักทรัพย์ในหลายพื้นที่ ทั้งในเขตนครบาลและปริมณฑล เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุม” ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป