ดีเอสไอ ส่งสำนวนคดีนอมินี ตึก สตง. ให้อัยการสั่งคดีก่อนครบกำหนดฝากขัง 7 มิ.ย.นี้

ดีเอสไอ ส่งสำนวนคดีนอมินี ตึก สตง. ให้อัยการสั่งคดีก่อนครบกำหนดฝากขัง 7 มิ.ย.นี้

View icon 157
วันที่ 26 พ.ค. 2568 | 18.03 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ดีเอสไอ ส่งสำนวนคดีนอมินี ตึก สตง. 16 ลัง พร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 5 ราย ให้อัยการสั่งคดีก่อนครบกำหนดฝากขัง 7 มิ.ย.นี้ มั่นใจข้อมูลครบถ้วน เร่งตามตัว “บินลิง วู” เชื่อหลบอยู่ในประเทศไทย

วันนี้ (26 พ.ค.68) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ได้สรุปสำนวนคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมความเห็นเสนออัยการสั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย กรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทย 3 ราย คือ นายประจวบ, นายโสภณ, นายมานัส และกรรมการชาวจีน 1 ราย คือ นายชวนหลิง จาง และนายทุนชาวจีน 1 ราย ซึ่งอยู่นอกโครงสร้างของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ คือ นายบินลิง วู

ขณะที่ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า ดีเอสไอดำเนินการสอบสวนคดีนอมินี เกี่ยวกับการสร้างตึก สตง.เสร็จสิ้นแล้ว และจะนำสำนวนส่งพนักงานอัยการคดีพิเศษในช่วงบ่ายวันนี้ โดยมีจำนวนลังเอกสาร 46 ลัง เเละเอกสารกว่า 17,000 แผ่น พร้อมความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 5 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหา 1 ราย อยู่ระหว่างหลบหนีคือ นายบินลิง วู ซึ่งพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบพิกัดข้อมูลว่าหลบอยู่ที่ไหน และจะประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เบื้องต้นผู้ต้องหายังหลบอยู่ในประเทศไทย มั่นใจว่าอีกไม่นานคงจะได้ตัวมาดำเนินคดี ส่วนจะมีใครให้ความคุ้มครองอยู่หรือไม่นั้น เรายังไม่มีข้อเท็จจริงในส่วนนี้

ร.ต.อ.สุรวุฒิ เผยอีกว่า หากอัยการคดีพิเศษ พิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่ามีประเด็นที่ต้องให้ดีเอสไอไปสอบสวนเพิ่มเติม เราก็จะรับไปดำเนินการตามคำสั่งของอัยการ แต่ถ้าไม่มีประเด็นเพิ่มเติม อัยการก็มีอำนาจสั่งคดี ทั้งนี้ มั่นใจว่าเนื้อหามีความครบถ้วนภายในระยะเวลาที่เรามี ที่ผ่านมากรรมการชาวไทย 3 ราย ได้ส่งคำให้การที่เป็นรายละเอียดปีกย่อย ซึ่งเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน อีกทั้งพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนจึงมีความเห็นสั่งฟ้องทั้งหมด ในส่วนของ 17 บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีผู้ต้องหาชาวไทย 3 รายไปถือหุ้นในลักษณะคล้ายกัน ดีเอสไอจะแยกทำสำนวนเป็นอีกหนึ่งคดีพิเศษ เพื่อตรวจสอบ 17 บริษัทเหล่านี้ โดยจะต้องไปตรวจสอบรายละเอียดโครงการที่บริษัทเหล่านี้ได้ประมูลไป

ร.ต.อ.สุรวุฒิ ยังระบุถึงกรณีที่ดีเอสไอประสานข้อมูลสัญญา 3 ฉบับ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างตึก สตง.ส่งให้ ป.ป.ช. ว่า ในส่วนที่ดีเอสไอดำเนินการเป็นคดีที่มีการกล่าวหาองค์กรอิสระและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งต้องนำส่งให้ ป.ป.ช. ภายในกรอบเวลา 30 วัน ซึ่งจะมีรายละเอียดเนื้อหาพฤติการณ์ทั้งหมดว่าเราพบข้อเท็จจริงประเด็นใดบ้าง โดยเบื้องต้นเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันในส่วนของตำแหน่งหน้าที่

“สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษในคดี สตง. มีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในราชการในปัจจุบันรวมอยู่ด้วย ส่วนจะมีผู้บริหารที่เกษียณไปแล้วหรือไม่ขอไม่ลงลึกในรายละเอียด และก่อนหน้านี้เราก็ได้มีการกล่าวหาในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีบทบาทควบคุมงาน จำนวน 6 ราย ส่งไปยัง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว” รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุ.

เมื่อถามว่า ต้องมีผู้บริหารของ สตง. ร่วมรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวหรือไม่นั้น ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ที่จะไต่สวน 100% ทั้งนี้ ในส่วนของอีก 10 กว่าโครงการอื่น ๆ ที่กิจการร่วมค้า ITD-CREC ประมูลไปได้นั้น ดีเอสไอจะมีการขยายผลตรวจสอบต่อไปเช่นเดียวกัน จะต้องดูรายละเอียดว่าพบความผิดใดบ้างหรือไม่

ต่อมาเวลา 14.00 น. คณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ นำสำนวนการสอบสวน พร้อมความเห็นสั่งฟ้อง นายประจวบ, นายโสภณ, นายมานัส, นายชวนหลิง จาง และนายบินลิง วู ผู้ต้องหากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ มาตรา 36 มาตรา 37 และมาตรา 41 กรณีเป็นนอมินี เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ในโครงการก่อสร้างอาคาร สำนักงานการตรวจคนเข้าเมืองแห่งใหม่ ที่ถล่มลงมาทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยมีสำนวนการสอบสวนจำนวน 17,620 แผ่น รวม 46 แฟ้ม มอบให้แก่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อพิจารณามีคำสั่งทางคดี โดยคณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนแล้วได้เดินทางกลับทันที

ทั้งนี้ รายงานข่าวเเจ้งว่าหลังจากรับสำนวนแล้วทางอัยการคดีพิเศษ จะต้องพิจารณาสำนวนให้เเล้วเสร็จภายในวันที่ 7 มิ.ย.2568  ซึ่งจะครบฝากขังผู้ต้องหา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง