“นายกฯ” แถลงต่อสภาฯ ยืนยัน จัดสรรงบเพื่อกระตุ้น ฟื้นฟู และ พัฒนาเศรษฐกิจ โดยประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (28 พ.ค. 68) เวลา 16.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงคำประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ที่น่าสนใจ ดังนี้
รัฐบาล ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,780,600,000,000 บาท โดยเป็นการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 123,541,060,200 บาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับ ใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ต่อยอดการพัฒนาภาคการผลิต และบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางสังคมดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประชาชน
ฐานะการคลังในปัจจุบัน มีดังนี้
- หนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 12,080,809.9 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
- ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 252,124.8 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีจำนวน 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท จำแนกเป็น
- รายจ่ายประจำ จำนวน 2,652,301.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70.2
- รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 3.3
- รายจ่ายลงทุน จำนวน 864,077.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 22.9
- รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 151,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 โดยรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ที่เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,519.6 ล้านบาท
และ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มีเป้าหมายจัดทำงบประมาณ เพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ทั้งในด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า 10 อันดับแรก ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด มีดังนี้
1. งบกลาง จำนวน 632,968 ล้านบาท ลดลงจากปี 2568 จำนวน 209,032 ล้านบาท
2. กระทรวงการคลัง จำนวน 397,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 8,197 ล้านบาท
3. กรทรวงศึกษาธิการ จำนวน 355,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 14,333 ล้านบาท
4. กระทรวงมหาดไทย จำนวน 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 6,852 ล้านบาท
5. กระทรวงกลาโหม จำนวน 204,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 4,713 ล้านบาท
6. กระทรวงคมนาคม จำนวน 200,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 7,403 ล้านบาท
7. กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 177,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 5,673 ล้านบาท
8. กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 140,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 8,058 ล้านบาท
9. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 130,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 7,483 ล้านบาท
10. กระทรวงแรงงาน จำนวน 68,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 21.5 ล้านบาท