ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เหยื่อคดียัดยาเสพติด ร้องขอความเป็นธรรมไม่เพียง คดีไม่คืบหน้า ยังไปเจอว่ามีการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐาน ข่มขู่พยาน ซ้ำยังมาเจอทนายความหลอกทำคดีอีก
คดีนี้มีภาพวงจรปิดที่บันทึกพฤติการณ์ของตำรวจทั้ง 7 นาย ค่อนข้างชัดเจน ว่าได้บุกเข้าไปค้นในบ้าน ทั้งที่ไม่มีหมายศาลฯ
มีภาพการสรุปผลจับกุม อ้างว่า จับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมของกลางยาบ้า 35 เม็ด และได้พาตัวไปดำเนินคดีแล้ว
และไหนยังจะมีหลักฐานการโอนเงิน 3 ครั้ง เพื่อให้ผ่านไปถึงมือตำรวจ และผู้เสียหายก็สามารถชี้ภาพยืนยันได้ว่าใครเป็นใคร ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อการดำเนินคดี
แต่กลายเป็นว่าหลังตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนไปได้ระยะหนึ่ง จู่ ๆ พยานหลักฐานก็เปลี่ยนไป จาก "ยาบ้า" กลายเป็น "ยาบำรุงกำลัง" มีความพยายามข่มขู่พยาน บอกให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น แถมยังเสนอเงินเพื่อแลกกับการเคลียร์คดีนี้ด้วย
คดีเกิดขึ้นปี 2565 จนมาปีนี้ 2568 ยังไปไม่ถึงไหน เลยต้องไปขอความเป็นธรรมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ปวดใจไปกว่านั้น ว่าจ้างทนายความมา 2 คน คนหนึ่งทำคดีบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ อีกคดีคือ ข่มขู่ และกักขัง แทนที่ทนายความจะช่วยผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม กลับไปช่วยคู่กรณี ล่อลวงให้เซ็นเอกสาร และยอมความทุกคดี
ในรายการ "ศจีตีคดี" คุณศจี ผู้ประกาศข่าว มีโอกาสได้สอบถามข้อเท็จจริงกับ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร อธิบายให้ฟังว่า เหตุที่จากคดีผิดวินัยร้ายแรง กลายเป็นคดีผิดวินัยไม่ร้ายแรง ก็เพราะมีคำให้การของผู้เสียหาย บอกเป็นความเข้าใจผิด แต่เมื่อได้รับฟังข้อเท็จจริง ว่าไม่ใช่อย่างที่ระบุในสำนวนคดี ก็ต้องรอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งการมาอีกที
ส่วนเรื่องที่ถูกทนายความ พยายามจะถอนฟ้องทุกคดี จนผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากนี้ก็จะไปร้องขอความเป็นธรรมกับ สภาทนายความ อีกที สรุปแล้วที่เรื่องราวพลิกไปได้ขนาดนี้ จุดอ่อนสำคัญ อยู่ที่ตัวผู้เสียหาย ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จึงถูกชักจูงได้ง่าย