ผู้ว่าฯ สระแก้ว กำชับเข้มหน่วยงานชายแดน เตรียมพร้อมดูแลความมั่นคง - ความปลอดภัยประชาชน

ผู้ว่าฯ สระแก้ว กำชับเข้มหน่วยงานชายแดน เตรียมพร้อมดูแลความมั่นคง - ความปลอดภัยประชาชน

View icon 256
วันที่ 6 มิ.ย. 2568 | 19.33 น.
จ.สระแก้ว
แชร์
ผู้ว่าฯ สระแก้ว กำชับเข้มหน่วยงานชายแดน เตรียมพร้อมดูแลความมั่นคง - ความปลอดภัยประชาชน หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

(6 มิ.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว นายปริญญา โพธิสัตว์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและกำชับแนวทางปฏิบัติงานแก่หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานฝ่ายความมั่นคง, ตำรวจ, ทหาร, หน่วยปกครองท้องถิ่น รวมถึงกำลังภาคประชาชนในพื้นที่ชายแดน เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดนช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

และยังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายแดนของจังหวัด เพิ่มความระมัดระวัง ปรับแผนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมสั่งการให้ดำเนินการตาม แนวทางหลัก 6 ข้อ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลุกลาม และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ นายปริญญา ยังกล่าวว่า “ในพื้นที่ชายแดนฝั่งอรัญประเทศ ขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์น่ากังวลใด ๆ สถานการณ์สงบดี หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงก็ถือว่าเป็น 0%” พร้อมฝากเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร อย่าหลงเชื่อข่าวลวงหรือ “เฟกนิวส์” (Fake News) ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและความไม่สงบในสังคม

6 แนวทางปฏิบัติหลักที่กำชับให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

1. ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน โดยให้ทุกอำเภอประเมินพื้นที่เสี่ยง จัดทำแผนอพยพประชาชน พร้อมจัดเตรียมจุดพักพิงให้มีความพร้อมในการใช้งานทั้งด้านสถานที่ อุปกรณ์ และบุคลากร

2. เตรียมพร้อมกำลังพลในพื้นที่โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้มีการซักซ้อมเฝ้าระวังในจุดล่อแหลม และสนับสนุนกำลังทหารในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน

3. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง ใช้ทุกช่องทางการสื่อสาร ทั้งหอกระจายข่าว วิทยุชุมชน สื่อสังคมออนไลน์ และแอปพลิเคชันภาครัฐ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดหรือความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน

4. ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปรับพื้นที่ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา เช่น เส้นทางหลบภัย จุดรวมพล พื้นที่พักพิงชั่วคราว และระบบการส่งต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ
5. ให้อำเภอจัดทำและซักซ้อมแผนอพยพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ในระดับพื้นที่ พร้อมระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ

6. หากเกิดเหตุไม่สงบในพื้นที่ ให้รีบรายงานผู้บังคับบัญชาทันที เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดผลกระทบต่อประชาชน และควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัด