สถานการณ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้นเล็กน้อย “บิ๊กเล็ก” เผยรอถกมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ

สถานการณ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้นเล็กน้อย “บิ๊กเล็ก” เผยรอถกมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ

View icon 61
วันที่ 10 มิ.ย. 2568 | 11.42 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“บิ๊กเล็ก” รับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้นเล็กน้อย ไม่มีการเผชิญหน้า คงมาตรการเปิด-ปิดด่านตามเวลา รอถกตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดพ้อถูกมองล่าช้า ข้อมูลความมั่นคงพูดไม่ได้ทุกเรื่อง บอกหมดจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

วันนี้ (10 มิ.ย.68) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อยกว่าเมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ยืนยันว่า มาตรการในการปรับระยะเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนยังคงไว้อยู่ เพราะสถานการณ์ยังคงดีขึ้นเล็กน้อยตรงที่กำลังทั้งสองฝ่ายได้ปรับกำลัง ไม่ได้เผชิญหน้ากัน เพราะตราบใดที่ยังมีการเผชิญหน้ากันมันมีความเสี่ยงในการปะทะและการใช้อาวุธ ทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย สุ่มเสี่ยงทั้งกำลังทหารและพี่น้องที่อยู่ชายแดน ส่วนกำลังส่วนอื่นทั้งสองฝ่ายยังอยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้น มาตรการควบคุมตามแนวชายยังทำต่อไป หลังจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะมาเปิดเผยอีกครั้งหนึ่งว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ส่วนมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ จะเสนอต่อที่ประชุม สมช.คงต้องพิจารณาตามสถานการณ์ ซึ่งเรื่องตัดน้ำ ตัดไฟ ขณะนี้มีอยู่ 2 เรื่องในเวลาเดียวกัน ทางหน่วยกำลังป้องกันชายแดน ต้องการที่จะตัดน้ำ ตัดไฟ แต่ขณะเดียวกัน ทางศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้อำนวยการ ต้องการตัดน้ำ ตัดไฟ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคอลเซนเตอร์ จึงขึ้นอยู่กับ สมช.จะพิจารณาว่า จะดำเนินการหรือไม่ อย่างไร เหมาะสมหรือไม่ ที่จะดำเนินการในช่วงนี้

สำหรับมาตรการตัดน้ำตัดไฟ จะทำให้สถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียดอีกรอบหรือไม่นั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า “ก็ต้องช่วยกันพิจารณาไง ที่ผ่านมา ไม่ได้แค่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำคนเดียว ทั้ง สมช.และรัฐบาลหารือกันในวงเล็ก” และขอชี้แจงกับสื่อว่า ขอให้ได้ความเห็นใจ เพราะการเจรจา การพูดคุย มาพูดก่อนจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า คิดอะไร จะทำอะไร เพราะฉะนั้น บางครั้งก็ไม่ได้พูด ซึ่งการไม่ได้พูดนี่แหละทำให้ประชาชนหรือสื่อมวลชนตัดพ้อต่อว่า รัฐบาลนิ่งเฉย ช้าไป แต่ถ้าพูดก่อน อีกฝ่ายก็รู้ก่อน

“เปรียบเสมือนการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ฟุตบอลไทยแข่งกับกัมพูชา สื่อจะมาถามว่า จะส่งผู้เล่นคนไหนลง ถามหมดเลย แต่ไม่มีใครไปถามทีมกัมพูชาว่า เขาจะจัดทีมอย่างไร เพราะฉะนั้น ฝ่ายความมั่นคงเวลาที่จะคิดทำอะไร ลำบากตรงนี้ ก็ต้องขอความเห็นใจจริง ๆ ความมั่นคง การทหาร จะต่างกับด้านเศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ ซึ่งสามารถชี้แจงก่อน แต่ด้านการทหารบางครั้งถ้าเราพูดก่อนอาจเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ การเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ ถ้าบอกหมดทางนั้นจะทราบหมดว่า ไทยคิดอย่างไร”

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีผู้รู้และนักการทหารออกมาพูดหลายคนนั้น การที่ออกมาพูดทำให้ทางฝ่ายกัมพูชาพอเดาออกว่า กองทัพทำอะไรอยู่ ตรงนี้ในส่วนที่ตนรับผิดชอบก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร ในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร โปร่งใส ต้องแสดงความโปร่งใส และต้องใช้ฝีมือมากขึ้น จึงได้ให้กำลังใจน้อง ๆ ในกองทัพว่า เราต้องเป็นกองทัพภายใต้ประชาธิปไตย ภายใต้สังคมข้อมูลข่าวสาร จะไม่เหมือนเก่าที่สมัยก่อนทุกอย่างเป็นความลับ เขาจะไม่รู้ว่า เราทำอะไรบ้าง มีกำลังและอาวุธอะไรบ้าง แต่สมัยนี้ต้องพูดก่อน ในส่วนที่ตนรับผิดชอบพยายามจะไม่พูด หรือพูดให้น้อยที่สุด เพื่อที่เราพยายามรักษาความลับ ซึ่งความลับไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้ไว้ใจสื่อหรือประชาชน เพียงแต่ว่าต้องการให้มีความได้เปรียบอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็เข้าใจสื่อและประชาชนว่า อยากรู้ว่า จะทำอย่างไร

ส่วนกรอบการประชุมเจบีซีในวันที่ 14 มิ.ย.68 จะมีการหยิบยกเรื่องพื้นที่ที่กัมพูชาจะนำขึ้นไปศาลโลกหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระทรวงการต่างประเทศ ตนไม่ขอก้าวล่วง ตนรับผิดชอบในเรื่องของความมั่นคง

ขณะที่กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พล.อ.ณัฐพล ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว โดยได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ และขึ้นห้องประชุม ครม.ทันที