รวบหนุ่มนครฯ แอบอ้างเป็นตำรวจ หลอกลวงเงินจากผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พบมีผู้เสียหายที่ถูกโทรไปแอบอ้างกว่า 2,000 ราย
วันนี้ (21 มิ.ย.2568) เวลา 10.00 น. ตม.จว.สุราษฎร์ธานี เข้าจับกุมผู้ต้องหา มีพฤติการณ์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ในการโทรศัพท์เรียกรับผลประโยชน์ จากผู้ประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีการโทรไปหลอกลวงผู้ประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ กว่า 2,000 ราย ซึ่งมีทั้งรายที่ไม่หลงเชื่อ และผู้เสียหายหลงเชื่อแล้วโอนเงินไปให้ โดยที่ไม่ทราบว่า พฤติการณ์ดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ของมิจฉาชีพ
หลังจากนั้น ผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้เสียหาย ได้เข้าร้องเรียนกับพล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 ว่ามีการโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.ตม.6 เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ขอรับการสนับสนุนกิจการงานต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐ โดยมีทั้งกลุ่ม ประชาชนที่โอนเงินไปให้ตามที่ขอ และไม่ได้หลงเชื่อโอนเงินให้เป็นจํานวนมาก
ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ทําการสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีประชาชน ผู้ประกอบการ ห้างร้าน โรงแรม และธุรกิจอื่น ๆ ถูกมิจฉาชีพรายดังกล่าวหลอกลวงหรือพยายามหลอกลวงจํานวนมาก พฤติการณ์ของคนร้ายจะใช้หมายเลขโทรศัพท์ต่าง ๆ โทรมายังประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด เช่น สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต เป็นต้น จากนั้นจะอ้างตนเป็น เจ้าหน้าที่ตํารวจหน่วยต่าง ๆ ทั้งตํารวจในสถานีตํารวจภูธรท้องที่ ตํารวจภูธรจังหวัด ตํารวจท่องเที่ยว และกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ใช้ชื่อว่า สารวัตรวัฒน์ หรือ สารวัตรศักดิ์ และในหลายครั้งก็แอบอ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการอื่น ๆ ในพื้นที่ด้วย โดยจะใช้คําพูดหลอกล่อโน้มน้าวแจ้งเหตุผลต่าง ๆ เพื่อขอรับเงินสนับสนุน เช่น มีการจัดเลี้ยงของหน่วย การเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่นั้น ๆ
จึงขอสนับสนุนเงินเป็นค่าอาหาร เครื่องดื่ม หรือค่าเดินทาง รวมถึงขอยืมเงินแบบส่วนตัว หรือแม้กระทั่งใน ลักษณะเชิงข่มขู่ ทํานองว่าธุรกิจที่ทําอยู่มีความหมิ่นเหม่จะกระทําผิดกฎหมาย ทําให้ประชาชนทั้งชาวไทยและ ต่างชาติจํานวนหลายรายที่หลงเชื่อเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจริง โอนเงินไปให้คนร้ายตามบัญชีธนาคาร ต่าง ๆ ที่คนร้ายแจ้งไว้ โดยคนร้ายมีพฤติการณ์โทรหลอกลวงลักษณะดังกล่าวมาแล้วระยะหนึ่ง จากการ ตรวจสอบพบว่า มีการโทรไปหลอกลวงผู้ประกอบ ร้านค้าต่าง ๆ กว่า 2,000 ราย ซึ่งมีทั้งรายที่ไม่หลงเชื่อ และหลงเชื่อแล้วโอนเงินไปให้ โดยที่ไม่ทราบว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทําของมิจฉาชีพ
ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ทําการสืบสวนติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว ทราบว่าผู้ก่อเหตุ คือ นายสุชาติ ซึ่งเคยมีประวัติในการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและถูกดําเนินคดีมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในพื้นที่ สภ.เมืองพัทยา และ สภ.ป่าตอง จึงได้ประสานงานให้ ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ดําเนินคดีที่ สภ.เกาะพงัน จว.สุราษฎร์ธานี ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดเกาะสมุย ตามหมายจับศาลจังหวัดเกาะสมุย ที่ 154/2568 ลงวันที่ 29 พ.ค. 2568
จากนั้น ตม.จว.สุราษฎร์ธานี และ กก.สส.บก.ตม.6 ได้ติดตามตัว นายสุชาติ สมบัติชัย ผู้ต้องหา โดยทราบว่าได้หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จ.หนองบัวลําภู กับ ภรรยา คือ น.ส.สุพัตรา ซึ่งเป็นบุคคล ตามหมายจับศาลจังหวัดเกาะสมุย ที่ 95/2568 ลงวันที่ 31 มี.ค. 2568 ในข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็น บุคคลอื่น เช่นเดียวกันกับ นายสุชาติ จนกระทั่งวันที่ 18 มิ.ย. 2568 เจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถจับกุมตัว นายสุชาติ และ น.ส.สุพัตรา บริเวณถนนสาธารณะ ต.โนนสัง อ.โนนสัง จว.หนองบัวลําภู จากนั้นนําส่ง พงส. สภ.เกาะพะงัน และ สภ.เกาะสมุย เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย