โรม แนะ รัฐบาลหามาตรการรองรับก่อนปิดด่าน เร่ง ปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์-เจรจาการทูต-เตรียมการไปศาลโลก

โรม แนะ รัฐบาลหามาตรการรองรับก่อนปิดด่าน เร่ง ปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์-เจรจาการทูต-เตรียมการไปศาลโลก

View icon 99
วันที่ 26 มิ.ย. 2568 | 11.10 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“โรม” แนะ รัฐบาลหามาตรการรองรับก่อนปิดด่าน เร่ง ปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์-เจรจาการทูต-เตรียมการไปศาลโลก มอง ไม่มีใครแพ้-ชนะ มีแต่สร้างบาดแผลให้ ปชช.ทั้ง 2 ชาติ ฉะ “มาริษ” ไม่ให้ความร่วมมือ มั่นแก้ปัญหาเองได้

26 มิถุนายน 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ กมธ.ทำ 2 อย่าง คือ เรื่อง เป็นการเตรียมความพร้อม ขณะเดียวกันก็ต้องดูว่าทางประเทศกัมพูชา เรื่องของความก้าวหน้าในการเตรียมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพื้นที่ 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก อย่างไรซึ่งเป็นเกมส์การเมืองที่ต้องการพาไทยศาลโลกด้วย รวมไปถึงทางกระทรวงการต่างประเทศมีความพร้อมมากแค่ไหน

นอกจากนี้ ได้มีการเชิญนักวิชาการ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 คน ได้เตรียมการข้อมูลมาค่อนข้างดี หวังว่าด้านนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการต่างประเทศต่างประเทศ รวมไปถึงข้อแนะนำจากทั้งในส่วนของกรรมาธิการและที่ปรึกษาบางคน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับกระทรวงการต่างประเทศ

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อยากให้เจรจาผ่านสิ่งที่กรรมาธิการความมั่นคง ต่อการทำต้องการจะเป้าหมายในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ในวิธีการที่เรียกว่าทวิภาคี ซึ่งหากมีการขึ้นศาลโลกจริง ก็ไม่มีใครชนะหรือแพ้แท้จริง ทั้ง 2 ประเทศต้องตั้งอยู่ตรงนี้ร่วมกัน และไม่อยากให้เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ไม่อยากให้ทั้งคนไทย และคนกัมพูชาขัดแย้งกัน สถานการณ์ที่มาถึงจุดนี้เกิดขึ้นจากคนไม่กี่คน ดังนั้นก็พยายามถามทุกวิถีทางที่ทำให้มั่นใจว่าทวิภาคีมีความเป็นไปได้ และจุดนี้ยังไม่ง่าย ในแนวทางการแก้ไขทวิภาคีก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากเท่าไหร่

ทางกัมพูชาต้องการผลักดันให้นำพื้นที่ 4 ข้อพิพาทไปคุยในศาลโลก เพราะมองว่าการเจรจาทวิภาคีเป็นไปได้ยาก นายรังสิมันต์ กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาอาจจะไม่อยากเข้าสู่การทวิภาคี ซึ่งอยากใช้กลไกระหว่างประเทศอย่างศาลโลก แต่ในความที่สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ผิดปกติจนไม่สามารถคุยกันไม่ได้เลยหรือ เรายังสามารถหาแนวทางที่จะสร้างกลไกทวิภาคีได้ ทุกฝ่ายรวมถึงรัฐบาลกัมพูชา ต้องพึงตระหนักว่า ประเทศทั้งสองประเทศจะต้องตั้งอยู่ตรงนี้ พวกเราไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนก็ต่างมาและไปเราไม่ควรทิ้งบาดแผลระหว่างทั้งสองประเทศแต่ก็ควรที่จะหาแนวทางของทั้งสองประเทศที่เป็นอยู่ร่วมกันและแก้ไขปัญหานี่เป็นแนวทางที่ควรจะเป็น

หากกัมพูชาไม่อยากใช้กลไกทวิภาคีจริง ๆ จึงเป็นโอกาสที่คณะกรรมาธิการต้องคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยากคุยกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเช่นนี้ประจำไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เพราะคิดว่าตัวเองแก้ไขปัญหาได้ แต่ในความเป็นจริงที่เห็นว่า กระทรวงการต่างประเทศ เป็นกระทรวงที่ไม่ประสบความสำเร็จในทางการทูตเลย แทนที่จะได้ใช้การพูดคุยกัน ข้อต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ หากกัมพูชาไม่อยากใช้กลไกทวิภาคี เราก็ต้องทำงานทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งคิดว่ามีความจำเป็นโดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส ตามที่กัมพูชาพยายามทำทุกวิถีทาง ทำงานทางการทูตกับฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งกับที่โลก เพื่อให้เห็นว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยจะต้องทำงานหนักมากกว่านี้

ส่วนที่ สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีใหม่ในอีก 3 เดือนนั้น ต้องรู้เท่าทันความพยายามของสมเด็จฮุน เซน นี่คือ สงครามจิตวิทยา และรู้ว่าโพสต์อะไรตอนนี้ คนไทยก็จะอ่านและติดตาม  ดังนั้น ขออย่าไปสนใจเยอะ และตอนนี้ก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏในคลิปเสียเป็นสิ่งที่แย่มาก ๆ ในฐานะคนอย่างนายกรัฐมนตรี ความพยายามที่จะแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยจะต้องไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันกลไกตรวจสอบของสภาฯ ที่ปรากฏคลิปเสียงซึ่งนายกรัฐมนตรีถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลักก็ต้องเข้าสู่กลไกตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการ เช่นเดียวกัน

สำหรับมาตรการปิดด่าน ยังขาดการบริหารเรื่องของผลกระทบที่จะตามมา เช่น มีบริษัทไทยที่ไปลงทุนในประเทศกัมพูชา หรือแม้แต่บริษัทของประเทศญี่ปุ่นที่เปิดตามแนวชายแดน ซึ่งต้องส่งวัตถุดิบมาที่ประเทศไทย ถ้าหากไม่มีการรองรับของผลกระทบที่ตามมาโรงงานแห่งนี้อาจย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น ถ้าเราไม่มีการรับมือการจัดการเรื่องนี้จะมีผลกระทบแน่นอนสิ้น และจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย อยากร้องไปถึงนายกรัฐมนตรีหากจะมีมาตรการอะไรตามแนวชายแดนต้องคิดให้รอบคอบและมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไร ส่วนที่มีการประท้วงในกัมพูชาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

ขณะที่เรื่องตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ซึ่งการตัดไฟจะมีการถามข้อมูลเกี่ยวกับกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีข้อมูลเรื่องนี้หรือไม่ เพราะมีข่าวว่ายังตัดไม่ครบทุกจุด ต้องพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่ตัด ส่วนเรื่องน้ำมันที่บอกว่าจะไม่มีการนำเข้าจากประเทศไทยแล้ว แต่ยังมีกระแสข่าวว่ายังส่งน้ำมันไปที่กัมพูชา ก็มีการสอบถามแนวทางของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร

ส่วนที่ทางกัมพูชาระบุว่ามีการตัดไฟหมดแล้ว นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีการตัด 3 จุดจากทั้งหมด 6 จุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ออกมาว่ายังตัดไม่หมด และต้องมีการพูดคุยกัน และตรวจสอบว่าเป็นจุดไหน ส่วนจะมีมีความสำคัญกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์มากน้อยเพียงใด