ไต่สวนพยานแพทย์ ย้ำ รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีหมอ-เครื่องมือเฉพาะด้าน ต้องส่ง ทักษิณ รักษา รพ.ภายนอก ด้านแพทย์เวร ยอมรับ ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยโรคเอง

ไต่สวนพยานแพทย์ ย้ำ รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีหมอ-เครื่องมือเฉพาะด้าน ต้องส่ง ทักษิณ รักษา รพ.ภายนอก ด้านแพทย์เวร ยอมรับ ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยโรคเอง

View icon 298
วันที่ 4 ก.ค. 2568 | 15.23 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ไต่สวนพยานแพทย์ ย้ำ รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีหมอ-เครื่องมือเฉพาะด้าน ต้องส่ง "ทักษิณ" รักษา รพ.ภายนอก ด้านแพทย์เวร ยอมรับ ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยโรคเอง อ้างไม่รู้คุกพิเศษกรุงเทพฯ อยู่ที่ไหน ด้านพยาบาล เบิกความ ทักษิณ แจ้งมีอาการผิดปกติ ไม่ได้นำยาโรคประจำตัวเข้ามา ยัน เห็นเจ้าตัวใส่ชุดนักโทษ ขณะที่ศาลเรียก 2 แพทย์รพ.ตำรวจขึ้นไต่สวน 18 ก.ค. พร้อมสั่งงดเผยแพร่คำเบิกความ

วันนี้ (4 ก.ค.68) ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 การตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีศาลพิพากษาจำคุก แต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

โดยวันนี้ศาลเบิกพยานฝ่ายผู้ร้องจำนวน 5 ปาก ขึ้นไต่สวน โดยพยานทั้งหมดเป็นบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งทำการตรวจรักษานายทักษิณ โดยพยานปากแรกคือ พญ.รวมทิพย์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความสรุปว่า ได้รับมอบหมายให้ตรวจร่างกายนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพในเวลาประมาณ 11.00 น.  พบว่านายทักษิณมีประวัติการรักษาจากต่างประเทศ 10 โรค และนายทักษิณแจ้งว่ามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียจากการเดินขึ้นบันไดมา เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว พบว่าหัวใจปกติ แต่แขนขาอ่อนแรง ส่วนที่อนุญาตให้ส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก เพราะพยาบาลเรือนจำฯ แจ้งอาการ ซึ่งเห็นว่าพยาบาลอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากกว่า จึงมีความเชื่อถือ และเป็นโรคที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่มีเครื่องมือและแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงไม่มียาที่ผู้ป่วยต้องใช้ จึงเห็นควรให้ส่งไปรักษานอกเรือนจำ

ส่วนกรณีใบส่งตัวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยใบนำส่งตัวจะเขียนกรณีที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่มีศักยภาพรักษา แต่จะให้ส่งตัวเวลาราชการและไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นวันไหน และไม่ได้เป็นผู้บอกว่าจะต้องส่งตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตำรวจ เพราะไม่ทราบว่าโรงพยาบาลไหนจะสามารถรับตัวผู้ป่วยได้ ซึ่งหลักเกณฑ์ส่งตัวผู้ต้องขังป่วยไปรักษาที่เรือนจำภายนอก ใช้มาตั้งแต่ปี 2563 และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก

ขณะที่ นพ.นทพร แพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เบิกความว่า ตนเป็นแพทย์นอกเวลาและไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ช่วงวันที่ 22 ส.ค.66 ตนเข้าเวร 16.30 น. ถึง 08.30 น.ของอีกวัน ปรากฎว่าวันดังกล่าวมีพยาบาลโทรมาแจ้งอาการของนายทักษิณ เมื่อตนวินิจฉัยร่วมกับประวัติการรักษาจากต่างประเทศแล้ว น่าจะมีอาการจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ จึงเห็นควรให้ปรึกษาแพทย์คนแรกที่ตรวจร่างกายนายทักษิณเมื่อตอนที่รับเข้าเรือนจำ และให้ส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก หากไม่ได้นำส่งจะมีความเสี่ยงกับตัวผู้ป่วย อีกทั้งโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่พอ บวกกับเงื่อนไขของเวลา ทั้งนี้ ตนพิจารณาความเห็นจากพยาบาลที่โทรเข้ามาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ไปตรวจวินิจฉัยเอง เพราะไม่ทราบว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพอยู่บริเวณไหน ยืนยันว่าตนมีหน้าที่ให้ความเห็นทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนการส่งตัวออกไปรักษาภายนอกเป็นหน้าที่ของเรือนจำ

ด้านนายธัญพิสิษฐ์ พยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จังหวัดสุโขทัย เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นพยาบาลที่สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทำหน้าที่ตั้งแต่ 8.00-16.30 น. และอยู่เวรต่อเนื่องจนถึงเวลา  08.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ต้องขังภายในสถานพยาบาลรวมถึงนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังใหม่ในกลุ่ม 608 โดยนายทักษิณได้ถูกควบคุมตัวที่ห้องกักโรค ซึ่งแพทย์สั่งให้ติดตามอาการทุก 4 ชั่วโมง ในตอนนั้นนายทักษิณ อยู่ในห้องเพียงคนเดียวและได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักโทษแล้ว ต่อมาเวลา 22.00 น. นายทักษิณ แจ้งว่ามีอาการแน่นหน้าอก จึงแจ้งแพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งให้ความเห็นว่าเห็นควรส่งไปโรงพยาบาลภายนอก เนื่องจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีศักยภาพไม่เพียงพอ และให้ปรึกษา พญ.รวมทิพย์ เพื่อขออนุญาตใช้ใบส่งตัว ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดได้แจ้งพัศดีตลอด และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการประสานจัดทำเอกสาร

ระหว่างที่รอส่งตัวได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวให้นายทักษิณ ทราบ และหลังจากนั้นจึงมีพัศดีประคองนายทักษิณไปขึ้นรถพยาบาลของเรือนจำ โดยใช้เวลา 20 นาที เดินทางถึงโรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นมีเจ้าหน้าที่มารับไม่ทราบว่านำนายทักษิณไปห้องฉุกเฉินหรือไม่ ส่วนตนไปเปิดเวชระเบียน และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ให้นำเวชระเบียนขึ้นไปให้พยาบาลที่ชั้น 14 จึงทราบว่านายทักษิณอยู่ที่นั่น แต่ไม่ทราบว่าอยู่ห้องไหน แต่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้าอยู่ ส่วนที่ไม่ส่งไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์แม้จะห่างกันไม่มากเกรงว่าหากไปส่งจะทำให้เสียเวลามากขึ้น เนื่องจากต้องเตรียมอุปกรณ์และรถพยาบาลไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง อีกทั้งนายทักษิณไม่ได้นำยาโรคประจำตัวติดตัวมา และญาติยังไม่ส่งเข้ามาให้ แม้จะโรงพยาบาลราชทัณฑ์จะมียารักษา แต่ก็เป็นคนละชนิดกับที่ผู้ป่วยใช้ ส่วนอาการจะกำเริบแค่ไหนอยู่ที่ผู้ป่วยควบคุมการกินยาได้ตรงเวลาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนปรึกษาแพทย์เวร แล้วและให้ความเห็นว่าควรส่งตัวไปรักษาภายนอก เช่น โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งปกติจะส่งไปที่นี่บ่อย เนื่องจากมี MOU

ภายหลังไต่สวนพยานปากนี้เสร็จ ศาลได้ไต่สวนพยานอีก 2 ปาก ซึ่งเป็นพยาบาลที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาช่วยตรวจร่างกาย แต่ทั้งคู่ทำหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกอยู่นอกห้องตรวจ

ต่อมาศาลได้อ่านกระบวนพิจารณา ระบุว่า นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ และทนายจำเลย มาศาล ส่วนจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลไม่มาฟังการพิจารณา ศาลไต่สวนพยาน 5 ปาก ให้เลื่อนไปไต่สวนในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 9.00น. ตามที่นัดไว้เดิม

อนึ่ง มีการนำข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานซึ่งศาลไต่สวนในนัดก่อนออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนในลักษณะคำต่อคำผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจทำให้พยานบุคคลที่จะมาเบิกความในลำดับถัดไปทราบข้อเท็จจริงที่พยานคนก่อนได้เบิกความไว้ และอาจทำให้ศาลไต่สวนแล้วได้ข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงอาจมีการนำคำเบิกความของพยานดังกล่าวไปวิเคราะห์หรือให้ความเห็นในทางคดีจนก่อให้เกิดความสับสนแก่สังคมได้ ประกอบกับข้อมูลด้านสุขภาพของจำเลยเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ศาลให้คู่ความและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีงดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน

และศาลนัดพยานไต่สวนเพิ่มในวันที่ 18 ก.ค. เป็นแพทย์เจ้าของไข้จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 คน และวันที่ 25 ก.ค.ศาลออกหมายเรียกถึงแพทย์สภาขอแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคของจำเลยมาเบิกความต่อศาล

ทั้งนี้ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยื่นคำชี้แจง 307 แผ่น, แพทยสภาส่งมติที่ประชุม 113 หน้า และผลตรวจสอบแพทย์ 1,190 หน้า, คณะกรรมการสิทธิฯ ส่งเอกสาร 20 แผ่น, จำเลยยื่นคำชี้แจง 55 แผ่น, ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยื่นเอกสารเบิกค่าเวร 77 แผ่น, ทนายจำเลยส่งประวัติการรักษา รับไว้พิจารณา และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจส่งหลักฐานค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่และค่ารักษาพยาบาลของจำเลย รับไว้พิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 9.00 น. ตามที่ศาลนัดไต่สวนไว้เดิม พยานประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ที่ทำหน้าที่ควบคุมนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนในวันที่ 15 ก.ค.เป็นผู้บริหารกรมราชทัณฑ์, อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์