เวลา 17.15 น. วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่งถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี, นายอำนาจ เย็นยิ่ง อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3, พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2, พลตำรวจโท วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3, นาวาอากาศเอก นทัย เมืองมณี ผู้บังคับการกองบิน 23, นาวาอากาศเอก ภักตร์ บุณยะเวศ ผู้บังคับการกองบิน 21, กองทหารเกียรติยศ พร้อมด้วยข้าราชการ และประชาชนชาวอุบลราชธานี และใกล้เคียง มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ แล้วประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังจังหวัดอำนาจเจริญ
เวลา 18.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินถึงยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสามสี อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ โดยมี นายณรงค์ เทพเสนา ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ, รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3, ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 27, รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วยข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ
เวลา 18.32 น. ประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินถึงยังวัดเกาะแก้ว ตำบลหนองสามสี อำเภอเสนางคนิคม ในการนี้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ทรงกราบ ทรงศีล ประธานสงฆ์ถวายศีลจบ ทรงเปิดอุโบสถกลางน้ำ "ทศมราชบพิตรปุณฑริกาคารสีมา" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามอุโบสถกลางน้ำ อันหมายถึง อุโบสถอันเป็นเขตสังฆกรรมรูปทรงดุจดอกบัวบุณทริก ประจำรัชกาลที่ 10 สร้างขึ้นเพื่อทดแทนอุโบสถหลังเดิม ที่สร้างตั้งแต่ปี 2496 ซึ่งปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา โดยอุโบสถก่อสร้างแบบโบราณ ไม่มีการตอกเสาเข็มหรือวางฐานรากที่มั่นคง จึงเกิดการทรุดตัวและหลังคาอุโบสถรั่ว ไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ โดยเฉพาะในฤดูฝน ทำให้การประกอบศาสนกิจและการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์เกิดความลำบาก อีกทั้ง กรมศิลปากร จะดำเนินการขึ้นทะเบียนอุโบสถหลังเก่าเป็นโบราณสถานของชาติ วัดเกาะแก้ว ตระหนักถึงข้อจำกัดต่าง ๆ และเห็นควรให้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น โดยคณะสงฆ์และประชาชนได้อาราธนาพระราชญาณวัชรชิโนภาส เมตตามาเป็นหลักในการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ตลอดจนเพื่อเป็นศาสนสมบัติด้านถาวรวัตถุในบวรพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจของคณะสงฆ์ รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในชุมชน อันจะนำไปสู่ความสามัคคี และเพื่อถ่ายทอดความรู้หลักคำสอนเรื่อง "สัมมาทิฏฐิ" ผ่านสถาปัตยกรรมอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่ยั่งยืน สร้างเป็นรูปทรงดอกบัวมีน้ำเป็นสีมา เรียกว่า "อุทกุกเขปสีมา" ซึ่งถือเป็นนิมิตธรรมชาติอันบริสุทธิ์ การก่อสร้างจึงไม่มีการฝังลูกนิมิตและผูกพัทธสีมา เริ่มดำเนินการก่อสร้างเดือนธันวาคม 2566 แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2568 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานระบบอุปกรณ์แปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของวัด
โอกาสนี้ ทอดพระเนตรนิทรรศการหลักปฏิบัติธรรมนาวา "วัง" 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย ยาเม็ดที่ 1 และ 2 เป็นการท่องพระรัตนตรัยและการทักอารมณ์, ยาเม็ดที่ 3 และ 4 ท่องธาตุกรรมฐานและพิจารณากาย โดยให้จิตเห็นความจริงของกายสู่ความเป็นธาตุ ส่วนยาเม็ดที่ 5, 6 และ 7 คือ การท่องขันธ์ 5 พิจารณาอารมณ์ลงสู่ความเป็นขันธ์ 5 จนจิตเข้าใจความจริงของจิตเองและเข้าสู่หลักอริยสัจ 4 อันเป็นที่สุดแห่งการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง