ทนายรณรงค์ จี้ กต. ตอบโต้กัมพูชาปกป้องหลักนิติธรรม กรณีหมายจับ “ก๊ก อาน”

ทนายรณรงค์ จี้ กต. ตอบโต้กัมพูชาปกป้องหลักนิติธรรม กรณีหมายจับ “ก๊ก อาน”

View icon 101
วันที่ 9 ก.ค. 2568 | 11.30 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
หมายจับ “ก๊ก อาน” ไม่ใช่เพราะใกล้ชิด ฮุน เซน แต่เพราะพยานหลักฐาน โยงถึงธุรกรรม  ทนายรณรงค์ จี้ กต. ไม่ควรนิ่ง อย่าให้เขาดูถูกเราอยู่ฝ่ายเดียว ถึงเวลาตอบโต้เพื่อปกป้องหลักนิติธรรม-ศักดิ์ศรีของประเทศ สมเด็จฯ เรียกร้องความยุติธรรม แต่ไม่เคยยอมรับกระบวนการยุติธรรม

วันนี้ (9 ก.ค.68) ทนายรณณรงค์ หรือนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ แสดงความเห็นผ่านเพจทนายคู่ใจ กรณีสมเด็จฮุน เซน โพสต์สวนไทยเรื่อง “ก๊ก อาน” แต่ลืมมองเงาตัวเองในกระจก ICC วานนี้ (8 ก.ค. 68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวชื่นชมการที่ตำรวจไซเบอร์ไทยออกหมายจับ “ก๊ก อาน” คนสนิทของตัวเอง พร้อมเหน็บไทยเบา ๆ ว่า“ควรจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ภายในแผ่นดินตัวเองให้เร็วกว่านี้” และทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เจตนา “ท้าทาย” ว่า“ศาลไทยควรเริ่มการสืบสวนนายทักษิณด้วย เพราะมีความใกล้ชิดกับข้าพเจ้ามาก ถึงขนาดมีห้องว่างที่บ้านของข้าพเจ้าเลยทีเดียว”

ฟังดูเหมือนผู้นำคนหนึ่งที่กล้าตั้งคำถามกับระบบยุติธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในฐานะคนไทย และในฐานะทนายที่เฝ้าติดตามอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ ขออนุญาตถามกลับตรง ๆ ว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา ฝ่ายค้านของกัมพูชาเคยยื่นคำร้องต่อ ICC กล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มีผู้คน “หายไป” หลังพูดวิจารณ์รัฐบาล และประชาชนกว่า 700,000 คนถูกบังคับให้โยกย้ายออกจากถิ่นที่อยู่

ข้อความตอนหนึ่ง ทนายรณณรงค์ ตั้งคำถามว่า ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงไม่เคยถูกพิจารณาในศาลเลยสักครั้ง ทำไมถึงไม่มีการสอบสวนจากองค์กรอิสระภายในประเทศ ทำไมคนที่พูดเรื่องนี้ในกัมพูชาถึงต้องลี้ภัยออกนอกประเทศแทบทุกราย พูดให้ชัดก็คือ สมเด็จฯ ฮุน เซน เรียกร้องความยุติธรรม  แต่ไม่เคยยอมรับกระบวนการยุติธรรม ทำไม ICC ถึงแตะสมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่ได้ แม้กัมพูชาเป็นภาคีของ ICC ตั้งแต่ปี 2002 แม้จะมีคำร้องหลายครั้ง แต่จนวันนี้ ICC ยังไม่เคยดำเนินคดีใดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน เลย

1.ข้อจำกัดทาง “เวลา” ICC มีอำนาจเฉพาะอาชญากรรมที่เกิดหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2002 ส่วนเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดง (1975–1979) ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน เคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นอยู่นอกเขตอำนาจของ ICC โดยสมบูรณ์  แม้จะมีศาลลูกผสมในกัมพูชา (ECCC) มาตัดสินคดีเขมรแดง แต่ก็ไม่เคยเรียกชื่อ “ฮุน เซน” เข้ามาเป็นจำเลยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

2.ข้อจำกัดทาง “ความร่วมมือ” จะดำเนินคดี ICC ได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากรัฐภาคี แต่สมเด็จฯฮุน เซน คุมรัฐบาลกัมพูชาอย่างเบ็ดเสร็จมานาน ไม่มีทางที่เขาจะจับตัวเองส่งศาล ยิ่งกว่านั้น สมเด็จฯฮุนเซน ยังไม่เดินทางไปประเทศที่เป็นภาคี ICC เลยเดินทางเฉพาะประเทศที่ “ปลอดภัย” เพื่อไม่ให้ถูกออกหมายจับระหว่างประเทศแล้วส่งตัวให้ ICC แปลชัดๆ ว่า “รู้ช่อง” และ “เลี่ยงไว้ล่วงหน้าแล้ว”

3. มหาอำนาจ “กันให้” แม้ ICC จะออกหมายจับได้ แต่ถ้าจะดำเนินคดี ต้องส่งเรื่องไปผ่าน “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ” (UNSC) 

กลับมาที่ไทย กรณี “ก๊ก อาน” ไม่ใช่แค่เพราะเขาใกล้ชิดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน แต่เป็นเพราะหลักฐานถึง ไม่ใช่แค่แชตหรือภาพนิ่ง แต่โยงถึงธุรกรรม การสั่งการ การติดต่อข้ามแดน รวมถึงเครือข่ายที่หน่วยข่าวกรองไทยเองรู้ว่าโยงไปถึงใครฝั่งไหน การออกหมายจับจึงไม่ได้เกิดเพราะ “ความสัมพันธ์” แต่เกิดเพราะ “พฤติกรรมและพยานหลักฐาน”

“จะสวนไทยก็ควรเคารพกติกาสากลก่อน การทิ้งท้ายด้วยคำว่า “ไทยควรกล้าสืบสวนนายทักษิณ” เป็นการโยนชื่อคนอื่นขึ้นมาเบี่ยงประเด็นในขณะที่ตัวเองมีคนสนิทถูกออกหมายจับ ทั้งที่ประเทศไทยมีกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย จะสอบใคร จะดำเนินคดีกับใคร ก็ต้องผ่านศาล ผ่านขั้นตอน ไม่ใช่โพสต์แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นข้อเท็จจริงทางการเมือง”

กระทรวงการต่างประเทศไทยครั้งนี้ไม่ควรนิ่ง ต้องออกมาแถลงให้ชัด ไม่ใช่เพื่อตอบโต้สมเด็จฯ ฮุน เซน แต่เพื่อปกป้องหลักนิติธรรม และศักดิ์ศรีของประเทศ ถึงเวลาย้อนคำถามไปยังรัฐบาลกัมพูชาแล้วว่า “ถ้าเชื่อในความยุติธรรมจริง ทำไมไม่ยอมขึ้นศาล ICC เหมือนกัน ประเทศไทยไม่ควรถูกลดเหลือแค่ “เงียบ” ในเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงอยู่ทุกวันผ่านเฟซบุ๊ก