ไม่มามีโทษ มติ มส. มอบ เจ้าคณะใหญ่ เรียก 5 พระชั้นผู้ใหญ่ โยง สีกา ก. รายงานตัวด่วน พร้อมสั่ง พศ. ตั้งคณะทำงานศึกษาแก้กฎหมายพระสงฆ์
วันนี้ (13 ก.ค.68) ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) นัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ โดยภายหลังการประชุมกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา ในฐานะ เลขาธิการมหาเถรสมาคม แถลงผลการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษ จึงได้นิมนต์กรรมการมหาเถรสมาคมมาพูดคุยเป็นการเร่งด่วน โดยการประชุมวันนี้กรรมการมีข้อห่วงใยและมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง สามารถสรุปได้ 2 เรื่อง เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้า และหาแนวทางป้องกันในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2505 อาจจะไม่ทันสมัย รวมถึงกฎระเบียบมหาเถรสมาคมอาจจะต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยเรื่องเร่งด่วนที่ประชุมได้มีการนำรายชื่อพระ 11 รายชื่อที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มอบให้ในการเข้าพบ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการ มส. เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ประธานสมัชชามหาคณิสสร เข้าหารือ โดยจะดำเนินการใน 2 กรณี ใน 11 รายชื่อมีส่วนที่ลาสิกขาไปแล้ว ถือว่าสิ้นสุดสถานภาพการเป็นพระภิกษุ ไม่สามารถดำเนินการทางวินัยได้ ทั้งนี้ หากบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเงินของวัดและมีเส้นทางการเงินที่กระทำผิดทางอาญา ต้องให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนที่ยังไม่ยืนยันสถานะ กรรมการมหาเถระสมาคมได้มอบหมายคณะใหญ่แต่ละหนที่ปกครองดูแล ทำหนังสือเรียกตัวพระที่ปรากฎรายชื่อมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะผู้ปกครองสงฆ์ หากไม่มาตามระยะเวลาที่กำหนดถือว่าละทิ้งหน้าที่ จะต้องดำเนินการตามกฎของมหาเถระสมาคม ทั้งพักการปฏิบัติหน้าที่ หรือถูกปลด ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง เพราะถือว่ากระทำต่อวินัยพระอย่างร้ายแรง
ขณะนี้กรรมการฯ มีความห่วงใยพยานหลักฐานในการเอาผิดทางพระธรรมวินัย คณะสงฆ์จึงให้สำนักงานพระพุทธศาสนา ประสานกับตำรวจขอเอกสารหลักฐานที่ปรากฎ และขอความร่วมมือให้ตำรวจนำหลักฐาน ภาพ คลิป ส่งให้เจ้าคณะใหญ่ที่มีพระอยู่ในปกครองโดยตรง เพื่อจะได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งพระที่ยังไม่ยืนยันสถานะตอนนี้เหลืออยู่ 5 รูป ที่จะต้องแต่งให้มารายงานตัว ส่วนที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวัด ก็ต้องขอความอนุเคราะห์ตำรวจส่งหลักฐานมาประกอบการพิจารณาทางพระธรรมวินัย
สำหรับพระที่ปรากฎคลิปหลักฐานเกี่ยวข้องจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรก ลาสิกขาแล้ว 6 รูป คือ อดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ หรือ เจ้าคุณอาชว์, อดีตพระเทพวชิวธีรคุณ, อดีตพระเทพวชิรธีราภรณ์, อดีตพระครูปลัดสุรพล, อดีตพระมหาบุญเลิศ ช่วยธานี และอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ซึ่งทั้งหมดถือว่าสิ้นสุดกระบวนการเจ้าคณะผู้ปกครองแล้ว
กลุ่มที่ 2 ยังไม่ยืนยันสถานะ ได้แก่ พระปริยัติธาดา วัดกัลยาณมิตรฯ และ พระราชรัตนสุธี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก ซึ่งจะต้องทำหนังสือคำสั่งเรียกตัวมาชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะไม่ทราบว่าปัจจุบันยังเป็นพระหรือไม่ ซึ่งการยืนยันสถานะนั้นจะต้องมีภาพปรากฎ หรือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ยังมีสถานะเป็นพระภิกษุ 2 รูป คือ พระเทพปวรเมธี วัดประยุรวงศาวาส และ พระเทพวัชรสิทธิเมธี วัดท่าหลวง จ.พิจิตร ซึ่งทั้ง 2 รูปนี้ มหาเถระสมาคม มีมติขอความร่วมมือตำรวจได้ส่งรูปหลักฐานให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และเจ้าคณะใหญ่หนเหนือโดยตรง
ส่วนกลุ่มที่ 4 คือ พระเทพพัชราภรณ์ วัดชูจิตธรรมาราม ยังเป็นพระอยู่ แต่ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส และลาออกจากตำแหน่งประธานสำนักงานพระปริยัติศึกษาแล้ว โดยมหาเถระสมาคมได้มีคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาการแทนไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว
ส่วนกรณีที่สังคมอยากให้มีกฎหมายมาควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ เหมือนในบางประเทศที่มีการบังคับใช้แล้วนั้น ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา ระบุว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีมาตั้งแต่ 2505 ระยะเวลาผ่านไป 60 ปี สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก มหาเถระสมาคมมีความเห็นให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไปตั้งคณะทำงานมาศึกษาเรื่องนี้เพื่อปรับปรุง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้เกิดความเหมาะสมและทันสมัย สามารถบังคับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้ โดยจะเร่งดำเนินการด่วนที่สุด ยกร่างคณะทำงานขึ้นมาก่อน เพราะเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากในอดีตอาจจะมีเรื่องติดขัดหลายอย่าง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตที่ต้องแก้ไขเชิงโครงสร้าง ดังนั้น จะต้องขันน็อตให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติจริงให้มีความรวดเร็ว รัดกุมและมีประสิทธิภาพ
ส่วนการดำเนินคดีตามมาตรา 157 สามารถใช้ได้อยู่แล้ว ซึ่งพระสังฆาธิการถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายอาญา ท่านก็จะต้องรับความผิดทั้งส่วนของพระธรรมวินัย และกฎหมายอาญา ส่วนกรณีที่มีการลาสิกขาแล้ว ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เพราะความผิดสำเร็จตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่ง
ด้าน นายชัชพล ไชยพร รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า หากมีการลาสิกขาแล้วย่อมพ้นจากการเป็นพระภิกษุ ดังนั้น สมณศักดิ์ย่อมขาดโดยอัตโนมัติ รวมถึงราชทินนามก็ไม่สามารถใช้ได้ เพราะจะผิดกฎหมายอาญา และพัดยศจะต้องส่งคืนทั้งหมด