Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 22 กรกฎาคม 2568
1.กต.กัมพูชา ปฏิเสธข้อกล่าวหาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาอ้างว่าไทยละเมิดบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2543 หรือ MOU43 ด้วยการลาดตระเวนออกนอกเส้นทาง และสร้างเส้นทางลาดตระเวนขึ้นใหม่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา จากกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
จากนั้นสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา รวมทั้งลูกชาย พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ ฮุน มานี รองนายกรัฐมนตรี ต่างพร้อมใจกันออกมาโพสต์ถึงแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ซึ่งออกมาตอบโต้กระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ประท้วงต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กล่าวหาว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา โดยรัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผลและไม่มีมูลความจริงเหล่านี้โดยสิ้นเชิง
กระทรวงการต่างประเทศฯ กัมพูชาย้ำว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่จังหวัดพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชาที่ถูกกำหนดโดยแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 และเป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทหารไทยเข้ามาในพื้นที่โดยละเมิด MOU43 ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนร่วมกันอย่างชัดเจน และห้ามมิให้มีกิจกรรมฝ่ายเดียวในพื้นที่ที่ไม่มีเส้นแบ่งเขต โดยการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบนี้ถือเป็นการละเมิดความเข้าใจทวิภาคี ละเมิดดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
2.คืบหน้าเครื่องบินกองทัพตกใส่วิทยาลัย ที่บังกลาเทศ ดับ 27 คน
เกิดเหตุเครื่องบินฝึกของกองทัพอากาศบังกลาเทศ ตกใส่อาคาร 2 ชั้น ของโรงเรียนและวิทยาลัยไมล์สโตน ในกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (21 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 คน รวมทั้งนักบิน และมีผู้บาดเจ็บอีกราว 160 คน โดยยังมีผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 88 คน เบื้องต้นกองทัพอากาศชี้แจงว่าสาเหตุเครื่องบินตกเกิดจากเครื่องยนต์ขัดข้อง ซึ่งทางการจะเปิดการสืบสวนรายละเอียดต่อไป
สำหรับเครื่องบินที่เกิดเหตุเป็นเครื่องบินขับไล่ F-7 BGI ของกองทัพอากาศ อยู่ระหว่างการฝึกซ้อมตามตารางปกติ โดยกองทัพอาคารบังกลาเทศระบุว่า นักบินได้พยายามนำเครื่องบินออกนอกเส้นทางชุมชนที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว แต่แม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเครื่องบินก็ยังตกใส่อาคารของวิทยาลัยดังกล่าว
3. 28 ชาติ ร่วมประณามอิสราเอล “ไร้มนุษยธรรม”
เดวิด แลมมี (David Lammy) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร ประณามอิสราเอลที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาน้อยเกินไป จนคนจำนวนมากกำลังจะอดตาย รวมถึงกรณีการสังหารผู้ลี้ภัยหลายร้อยคนที่ไปรอขอรับอาหารและสิ่งของจำเป็นหน้าศูนย์บรรเทาทุกข์ที่อิสราเอลจัดตั้งและดูแลเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ดังนั้น สหราชอาณาจักรและอีกพันธมิตร 27 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น รวมทั้งคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านความเท่าเทียม จึงขอเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดยิงในฉนวนกาซาทันที
ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพอิสราเอลที่โจมตีย่านที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกในเมืองเดียร์อัล-บาเลาะห์ถึง 3 ครั้ง และยังโจมตีคลังเก็บยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังยืนยันว่าจะปฏิบัติงานด้วยมนุษยธรรมในฉนวนกาซาต่อไป แม้จะถูกกองทัพอิสราเอลโจมตีก็ตาม
4.อิทธิพลพายุ “วิภา” กระทบหลายประเทศเอเชีย
พายุโซนร้อน "วิภา" (Wipha) เคลื่อนตัวจากอ่าวตังเกี๋ย ขึ้นสู่ชายฝั่งทางตอนเหนือของเวียดนาม ในช่วงประมาณ 9 นาฬิกา 25 นาที ตามเวลาท้องถิ่น โดยพายุโซนร้อนวิภา ขึ้นสู่ชายฝั่งจังหวัดนิญบิ่ญ ขณะมีความเร็วลมสูงสุดเกือบ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างช้า ๆ ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้เกิดฟ้าคะนองและฝนตกหนัก ขณะที่ สำนักอุตุนิยมวิทยาเวียดนามคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักถึง 50 เซนติเมตร ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม ทำให้ทางการเวียดนามต้องเตรียมพร้อมกำลังทหารเกือบ 350,000 นาย ไว้รับมือเหตุฉุกเฉิน
ด้านสำนักข่าวท้องถิ่นของเวียดนามรายงานว่า พายุ "วิภา" ทำให้เกิดฝนตกหนัก ไฟฟ้าดับ และโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหาย โดยทางการประกาศเตือนภัยฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเล สายการบินต่าง ๆ ได้ยกเลิกเที่ยวบิน เบื้องต้นมีรายงานผู้บาดเจ็บแล้ว 4 คน
ขณะเดียวกัน อิทธิพลของพายุ "วิภา" ยังทำให้ลมมรสุมที่พัดถล่มฟิลิปปินส์มีความรุนแรงมากขึ้น โดยวันนี้หลายพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงมะนิลา ยังคงต้องเผชิญกับฝนตกหนัก ซึ่งทำให้มีน้ำท่วมสูงระดับเข่า โรงเรียนและสถานที่ราชการปิดทำการต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ประชาชนราว 48,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ส่วนเที่ยวบินจำนวนมากถูกยกเลิก และมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 คน สูญหายอีก 2 คน ขณะที่ รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ไว้คอยช่วยเหลือประชาชนแล้ว
ส่วนที่มณฑลชานตง ทางตะวันออกของจีน มีรายงานน้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนัก โดยตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา จนถึงเวลาตี 5 มีปริมาณฝนตกหนักเฉลี่ยเท่ากับครึ่งปีในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน สูญหายอีก 10 คน
5.ซากวาฬหลังค่อมเกยชายหาด ที่รีโอเดจาเนโร
ประชาชนจำนวนมากพากันไปมุ่งดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงขณะกำลังทำการเก็บกวาดซากวาฬหลังค่อม หรือวาฬฮัมแบ็ก ขนาดใหญ่ ที่ลอยขึ้นมาเกยชายหาดเซาคอนราโด (Sao Conrado) ชายหาดยอดนิยมในนครรีโอเดจาเนโร ของบราซิล เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ซากวาฬตัวดังกล่าวถูกค้นพบในสภาพเน่าเปื่อยรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องจักรในการลากซากวาฬขึ้นมาจากน้ำทะเล จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการวัดขนาดและเก็บตัวอย่างซากวาฬไปตรวจสอบสาเหตุการตาย ก่อนจะทำซากไปฝังทำลาย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูอพยพย้ายถิ่น ซึ่งเป็นช่วงที่วาฬหลังค่อมมักเดินทางเลียบชายฝั่งนครรีโอเดจาเนโรเพื่อไปยังแหล่งผสมพันธุ์