โรม เชื่อ ไม่มียาไหนหยุดยั้ง ความบ้าคลั่งของผู้นำกัมพูชาได้

โรม เชื่อ ไม่มียาไหนหยุดยั้ง ความบ้าคลั่งของผู้นำกัมพูชาได้

View icon 203
วันที่ 24 ก.ค. 2568 | 11.41 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
"โรม" ประณาม "กัมพูชา" พฤติกรรมก้าวร้าว ยั่วยุ ให้เกิดความรุนแรง จี้ กต.ทำงานเชิงรุก แนะไทยต้องตอบโต้ แต่ไม่ควรบานปลาย ชี้ ควรเชิญทูตหลายประเทศไปดูสถานการณ์จริง เชื่อ ไม่มียาไหนหยุดยั้ง ความบ้าคลั่งของผู้นำกัมพูชาได้

วันนี้ (24 ก.ค.68) นายรังสิมันต์ โรม สส. พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่เกิดการปะทะกัน ว่า ขอใช้โอกาสนี้ในการประณามรัฐบาลกัมพูชา พฤติกรรมของกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุ การใช้ความรุนแรงการละเมิดอนุสัญญาออตตาว่าโดยการใช้กับดักระเบิดสังหารบุคคลซึ่งไม่ควรเป็นอาวุธที่ใช้กันแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเรายอมรับไม่ได้ ดังนั้นเราต้องประณามการกระทำของประเทศกัมพูชา ที่ดำเนินการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

" ผมเชื่อว่ารัฐบาลกัมพูชาต้องมีส่วนรู้เห็น การกระทำนี้อย่างแน่นอน ทั้งที่กัมพูชาควรเข้าใจได้มากกว่าหลายประเทศ ว่าความร้ายแรงความรุนแรงในเรื่องกับดักระเบิดเป็นอย่างไร ชาวบ้านกัมพูชาได้รับความสูญเสียในเรื่องกับดักระเบิดมาเป็นเวลานาน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดของโลก กลับใช้พฤติกรรมเรื่องกับดักระเบิดแบบเดียวกันกับฝ่ายไทย

ต้องยอมรับว่าการเจรจาพูดคุยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายไทยก็ต้องมีการตอบโต้เรื่องนี้อย่างเหมาะสม ซึ่งคิดว่าเบื้องต้นที่ทางฝ่ายไทยดำเนินการได้หลังจากที่มีการชี้แจงต่อทูตทหารของหลายประเทศ คิดว่าเรามีเรื่องที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อให้โลกได้เห็นพฤติกรรมของกัมพูชา ซึ่งอาจจำเป็นต้องสังเกตการณ์สถานการณ์ โดยเชิญทูตประเทศต่าง ๆ ไปร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งโลกจะต้องได้เห็นอย่างเต็มที่และมีข้อมูลเพียบพร้อมว่า กัมพูชามีความก้าวร้าวและยั่วยุ เพื่อให้สถานการณ์บานปลายต่อไป

ด้านกระทรวงต่างประเทศเองต้องทำงานเชิงรุกมากกว่านี้ การที่จะไปรอเดือนธันวาคมเพื่อหารือตามมาแนวทางอนุสัญญาออตตาวาช้าเกินไป แล้วข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม คือเราควรนำเรื่องนี้เสนอต่อ UNCA ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของสหประชาชาติเพื่อให้ทั่วโลกได้เห็นว่ากัมพูชามีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ตนได้หารือกับ นางปทิดา ตันติรัตนานนท์ สส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย โดยเป็นสส.พื้นที่บริเวณช่องจอมซึ่งวันนี้เกิดการยิงปืนใหญ่กันแล้ว สถานการณ์บานปลายและสิ่งที่ตนเป็นห่วงมากที่สุดคือ ประชาชนตามแนวชายแดนที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเราต้องมีการเตรียมความพร้อม และได้ทราบว่าเบื้องต้นได้มีการซักซ้อมในพื้นที่ เชื่อว่าในพื้นที่มีความพร้อมแต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแบบนี้นานแค่ไหน ดังนั้นเราต้องเตรียมทุกความเป็นไปได้ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่ ไม่สมควรที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เราต้องหาวิธีรองรับให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยติดเตียง เด็ก จึงต้องฝากไปถึงรัฐบาลเมื่อมีการขัดกันทางอาวุธเกิดขึ้น กลุ่มเปราะบางประชาชนทั่ว ๆ ไป ควรจะได้รับความปลอดภัย

ดังนั้นการประชุมวันนี้ของคณะกรรมาธิการฯ เดิมทีเราใช้อำนาจเรียกในการเรียก ไม่ว่าจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย , นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม , พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีเชื่อว่าการกระทรวงกลาโหม และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ก็เข้าใจว่าบางคนอาจมีภารกิจที่จะต้องแก้ไขสถานการณ์ เราคงต้องฟังคำอธิบายถึงสาเหตุว่าไม่มาเพราะอะไร

" อย่างเช่นนางสาวแพทองธารซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ต้องยอมรับว่าเรื่องคลิปเสียงทำให้ฝ่ายรัฐบาลและรัฐบาลด้วยกันไม่สามารถพูดคุยกันได้แล้ว ต้องยอมรับว่าผู้นำ 2 คนอาจจะมีปัญหาเรื่องส่วนตัวหรือเปล่าไม่รู้ มีปัญหาเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์หรือเปล่าไม่รู้แต่นำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายมากขึ้นทำให้คนหนุ่มสาวชาวบ้านทั่วไป ได้รับผลกระทบความขัดแย้งในเรื่องนี้ ดังนั้นสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ดูไม่มีทีท่าหาทางออกได้ เราต้องยอมรับว่าวันนี้บุคคลเหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบ " นายรังสิมันต์กล่าว

นายรังสิมันต์ ระบุว่า กรณีที่นางสาวแพทองธารไปพูดในที่ต่าง ๆ จะมีการชี้แจงต่อกรรมาธิการอย่างไรซึ่งต้องดำเนินการต่อไป นางสาวแพทองธารคงไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไร กับการแก้ไขสถานการณ์ในวันนี้แล้ว ส่วนนายภูมิธรรมก็รอดูว่าจะมาหรือไม่ ถ้าไม่มาก็ต้องบอกว่าติดภารกิจอะไร ส่วนนายมาริษได้รับแจ้งแล้วว่าติดภารกิจที่ต่างประเทศ

จึงอยากใช้โอกาสนี้ฝากผ่านกระทรวงต่างประเทศด้วยว่าหาก กระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่ตัวเองได้ดีมาก ๆ เชื่อว่าจะลดโอกาสของความขัดแย้งระดับสูงให้ลดลงมา อาจไม่ได้การันตี 100% แต่อย่าน้อยที่สุดหากเรามีเครื่องไม้เครื่องมืออยู่ที่มีประสิทธิภาพการใช้อาวุธก็จะถูกลดความสำคัญลงมา ส่วนตัวคิดว่าทางไทย ต้องตอบโต้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่อยากให้ลุกลามบานปลาย นำไปสู่ความสูญเสีย

สำหรับข้อเสนอแนะคิดว่าการเชิญนักการทูตไปที่สถานการณ์ในพื้นที่นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในเมื่อไม่สามารถพูดคุยกับทางกัมพูชาได้ แต่สามารถคุยกับทูตได้ ดังนั้นการพูดคุยกับต่างประเทศก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องเรียบเรียงสถานการณ์จากเบาไปหาหนักเพราะมีวิธีการรองรับในเรื่องของการไม่ให้พลเรือนได้รับผลกระทบซึ่งมีความจำเป็น สุดท้ายสถานการณ์จะไปถึงไหนคงตอบไม่ได้ว่าทางกัมพูชา จะยั่วยุใช้ความรุนแรงไปถึงเมื่อไหร่

แต่ดูแล้วท่าทีของสมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาพร้อมทำทุกวิถีทางโดยไม่ได้เลือกวิธีการเลย เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่าการที่จะพูดคุยกับสมเด็จฯ ฮุนเซน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย การคุยกับลูกและประเทศต่าง ๆ ยังเป็นเรื่องจำเป็นและมีความสำคัญสูงสุด

เมื่อถามว่าที่ผ่านมากัมพูชามีการยั่วยุมาตลอดเราควรตอบโต้อย่างไรนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะไม่ตอบโต้ต้องยอมรับกันตรงไปตรงมาว่าทางกัมพูชาต้องการอะไรซึ่งทางกัมพูชาต้องการพาไทยไปศาลโลก เป็นสิ่งที่กัมพูชาต้องการ แม้จะมีการขัดกันทางอาวุธเกิดขึ้นจะมีโอกาสหรือไม่ที่กัมพูชาจะพาเราไปศาลโลก ตนก็ยอมรับว่ามี แต่ประเด็นสำคัญคือเมื่อสถานการณ์ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจึงขอใช้เวลานี้แสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว

และคิดว่าเราต้องตอบโต้ต่อไปขณะเดียวกันก็ต้องยืนยันกับนานาชาติว่าเราไม่ได้รังแก กัมพูชาแต่กัมพูชามีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

กระทรวงต่างประเทศว่าต้องทำงานให้กระตือรือร้นกว่านี้ และบอกกับเวทีต่างประเทศว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่ต้องการความขัดแย้งและต้องพาทูตไปเห็นสถานการณ์หน้างานซึ่งเป็นเรื่องที่จำ เป็นเราสามารถจัดการอย่างเหมาะสมได้แต่ไม่ได้เป็นการก้าวก่ายการทำงานของฝ่ายความมั่นคง แต่ก็ทำให้ฝ่ายความมั่นคงทั่วโลกเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้

" ความสำคัญอันดับแรกจะต้องทำอย่างไรให้ทั่วโลกเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้ต้องการความขัดแย้งแต่เป็นกัมพูชาที่ต้องการความขัดแย้งและต้องการยั่วยุและคิดว่าเป็นการมอบโอกาสหลายหลายอย่างในการทำให้ประเทศไทย สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ " นายรังสิมันต์กล่าว

นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า มาตรการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์รัฐบาลควรกระตุ้นได้มากกว่านี้ต้องทำทุกทางที่จะเป็นไปได้แต่ก็ต้องตอบโต้สถานการณ์ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากกัมพูชาต้องยอมรับว่าสิ่งที่กัมพูชาทำอีกนิดนึงก็เป็นเรื่องของก่อการร้ายแล้ว เป็นพฤติกรรมที่แย่มากและต้องประณามในสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนยาแรงในการหยุดยั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังใช้ได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ไม่มียาไหนที่จะหยุดยั้งความบ้าคลั่งของผู้นำกัมพูชาได้ โดยเฉพาะสมเด็จฯฮุนเซน ที่อายุเยอะแล้วคิดว่าการใช้วิธีนี้ เพื่อไปทำโฆษณาชวนเชื่อว่าจะทำให้ทั่วโลกเชื่อว่ากัมพูชาชนะไทยได้ การมีความเชื่อแบบนี้ จึงพยายามทำทุกทางไม่ได้สนใจว่าความสูญเสียจะเป็นอย่างไร เราต้องรู้ทันสถานการณ์และรู้ว่ากัมพูชาต้องการอะไรสิ่งสำคัญคือการทำให้ทั่วโลกเข้าใจถึงพฤติกรรมของกัมพูชาและมีปัญหาเรื่องของคอลเซ็นเตอร์ก็จะสามารถแสวงหาพันธมิตรทำให้กัมพูชาเห็นว่าการกระทำแบบนี้มันไม่ได้อะไร

ทั้งนี้ตนขอฝากไปถึงรัฐบาล ว่าเราต้องคิดว่าเราจะชนะสงครามอย่างไร แน่นอนว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สงคราม แต่ไม่ใช่การมองเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น เราต้องเห็นถึงภาพรวมว่าสถานการณ์นี้ต้องไม่ทำให้กัมพูชาได้ในสิ่งที่ต้องการ และรักษาศักดิ์ศรีของประเทศการตอบโต้ควรเป็นตามความจำเป็นตามเหมาะสมโดยกัมพูชาต้องรับผิดชอบพฤติกรรมที่ก่อไว้ก็เป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทำ เป็นเรื่องที่ต้องทำให้เห็นรอบด้าน ทั้งมิติของต่างประเทศการตอบโต้ด้วยกำลังและการจัดการเรื่องพลเรือนก็ตาม