ตำรวจ พบเบาะแสมือปืนฆ่ากำนันเล้น ขอเวลา 2 วัน คดีมีความชัดเจน แย้มปมสังหารขัดแย้งส่วนตัว มีโทรศัพท์ขู่ หากไม่ได้ชีวิตกำนัน จะเอาชีวิตแม่ของกำนัน
จากกรณีคนร้ายมีลักษณะ “ขาพิการ” สวมชุดดำ สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า ใช้อาวุธปืนสงคราม M 16 บุกเดี่ยวจ่อยิงนายบัณฑิต รองพล (กำนันเล้น) อายุ 57 ปี กำนันตำบลนาวง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ขณะขับรถกลับเข้าบ้านจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด ทางตำรวจได้ระดมกำลังทั้งชุดสืบสวนภูธรจังหวัดตรัง, ตำรวจชุดสืบสวน ภาค 9, ตำรวจกองปราบปราบ และชุดสืบสวน สภ.ห้วยยอด กระจายกำลังแบ่งหน้าที่กันทำงานหลายชุด ทั้งชุดตระเวนเก็บหลักฐานหากล้องวงจรปิด, ชุดไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี รวมทั้งแกะรอยภาพย้อนหลัง ที่คาดว่าคนร้ายจะต้องมาสังเกตการณ์ในพื้นที่ก่อนประมาณ 2 สัปดาห์, ชุดสืบสวนหาข่าวลงพื้นที่ และชุดสอบสวน โดยทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวพยายานบุคคล และญาติพี่น้อง รวมทั้งลูกน้องของกำนันไปสอบปากคำ เพื่อหาความชัดเจนสาเหตุของคดี โดยทุกชุดขณะนี้ต่างเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่
พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า คดีนี้ตำรวจทำงานก่อน คาดว่าไม่เกิน 2 วัน เชื่อว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ตอนนี้กำลังเจ้าหน้าที่เร่งทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนประเด็นการสังหารคาดว่าเป็นประเด็นความขัดแย้งส่วนตัว ที่กำนันทำงานอย่างเข้มข้นในพื้นที่ จึงอาจทำให้มีบางคนเสียผลประโยชน์ ส่วนคนร้ายน่าจะเป็นคนในพื้นที่ไม่ไกล
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ทางตำรวจได้มานั้น พบประเด็นสำคัญคือ กำนันมีความขัดแย้งกับนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่คนหนึ่ง เรื่องการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ที่ทางกำนันพยายามทำงานป้องกันและปราบปราม สร้างความไม่พอใจให้บุคคลดังกล่าวอย่างมาก พร้อมกับมีการข่มขู่ฆ่าทางโทรศัพท์ หากไม่ได้ชีวิตกำนัน จะเอาชีวิตแม่ของกำนัน ทางครอบครัวกำนันจึงต้องพาแม่ไปไว้ในที่ปลอดภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งกู้ข้อมูล โดยก่อนหน้านี้ 2 วัน มีคนโทรศัพท์มาแจ้งว่า มีมือปืนจากจังหวัดพัทลุงเข้ามาในพื้นที่แล้วเตรียมเก็บกำนัน สุดท้ายมาเกิดเหตุขึ้นดังกล่าว ส่วนมือปืนที่ก่อเหตุพบเบาะแสว่าเป็นคนในพื้นที่ลักษณะร่างกายผิดปกติคือ พิการขา จากอาการป่วยด้วยโรคโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก และอยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับ 3 คดี คือ คดีฆ่าผู้อื่น คดีพรากผู้เยาว์ และคดียาเสพติด คาดว่าได้หลบหนีอยู่ต่างถิ่น และได้ย้อนมาก่อคดีนี้อีกครั้ง