“ภูมิธรรม” หารือนักลงทุน กว่า 30 บริษัทชั้นนำทั่วโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย

“ภูมิธรรม” หารือนักลงทุน กว่า 30 บริษัทชั้นนำทั่วโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย

View icon 73
วันที่ 6 ส.ค. 2568 | 14.08 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
“ภูมิธรรม” หารือนักลงทุน กว่า 30 บริษัทชั้นนำทั่วโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย พร้อมปรับปรุงกลไก-กฎระเบียบให้สอดคล้องกับกติกาโลก และพัฒนาพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

วันนี้ (6 ส.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระดับสูงนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำเข้าร่วมมากกว่า 30 บริษัท ใน 4 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูล และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจไทย และทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย เอื้อต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน หรือ ขยายการลงทุนในไทย

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูง จากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย การรับมือกับความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก อีกทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีใหม่ ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บที่ร้อยละ 19 รัฐบาลไทยตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และกติกาการค้าโลก จึงมุ่งมั่นที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจ ว่า ธุรกิจที่ดำเนินการในประเทศสอดคล้องกับกติกาโลก และลดความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รัฐบาลมีความจริงใจในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทางด้านกฎระเบียบ ที่เอื้อต่อการอำนวยการประกอบธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การเตรียมพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเดินหน้าเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ขณะเดียวกันไทยยังสร้างความสามารถในการเข้าถึงตลาดโลกให้กับภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีความตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างเร่งการเจรจาการค้าเพิ่มเติมกับอีกหลายประเทศ รวมถึงกลุ่มอียู เกาหลีใต้ และแคนาดา เพื่อช่วยเพิ่มความได้เปรียบของผู้ประกอบการในการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการพัฒนากลไกพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG โดยมีบริษัทให้ความสนใจยื่นขอใช้บริการกว่า 40 ราย และปีนี้ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการกลไกพลังงานสะอาดที่สามารถระบุแหล่งที่มา และมาจากแหล่งพลังงานใหม่

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการเตรียมกลไก ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตได้โดยตรง โดยจะเริ่มให้บริการพลังงานสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ แก่กลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ หากการให้บริการล็อตแรกเป็นไปด้วยดี รัฐบาลพร้อมที่จะพิจารณาขยายกลไกดังกล่าวให้ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่น ๆ ต่อไป