เช้านี้ที่หมอชิต - จังหวัดอุทัยธานี "พลทหารม่อน" ซึ่งรอดชีวิตจากการโจมตีของทหารกัมพูชา ได้เดินทางกลับถึงภูมิลำเนาท่ามกลางความยินดีของคนในครอบครัว
เจ้าตัวได้เปิดใจวินาทีชีวิตที่ถูกระเบิดบริเวณคูเรตจนบาดเจ็บ และยังบอกอีกว่าทหารกัมพูชารบแบบ "ยิงมั่ว" ไม่สู้กระสุนจะไปโดนใคร แถมไม่สนใจชาวบ้าน เรียกได้ว่ารบแบบไร้มนุษยธรรม
เมื่อวาน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของพลทหารพิตรพิบูล รามคำ หรือ ม่อน อายุ 18 ปี ที่บ้านผาทั่ง ตำบลห้วยแห้ง อำเภอบ้านไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ "พลทหารม่อน" ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า สะเก็ดระเบิดฝังที่ใบหน้า และดวงตา จนแพทย์ต้องนำสะเก็ดระเบิดออก และเคราะห์ดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ
โดย "พลทหารม่อน" ได้รับบาดเจ็บจากการรบที่บริเวณภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นได้ถูกนำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี 3 วัน จากนั้นอาการเบาลง และไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนกลับมาพักฟื้นที่บ้านพัก ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงหลังพระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดฯ รวมถึงผู้ใจบุญร่วมมาปรับปรุงบ้านให้ ซึ่ง "พลทหารม่อน" อยู่กับตาและยาย
"พลทหารม่อน" เปิดใจว่าได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปยังภูมะเขือพร้อมทหารนายอื่น ๆ พอไปถึงก็เข้าไปที่คูเรต และยิงโต้ตอบอีกฝ่าย ก่อนที่จะถูกลูกกระสุนปืน ค. ยิงเข้าใส่ จนได้รับบาดเจ็บ
"พลทหารม่อน" บอกว่า การมาเป็นทหารที่อายุเพียง 18 ปีนั้น เพราะเรียนอยู่นั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนบ้านไร่วิทยา และอีก 2 เดือนจะเรียนจบแล้ว จากนั้นก็สมัครทหารด้วยความเต็มใจทางออนไลน์เพื่อไปฝึกทันทีเลย และพอมีคำสั่งให้ไปรบก็ตกใจเล็กน้อย ซึ่งฝึกอยู่เพียง 3 เดือนก็มีโอกาสเข้าสนามรบเลย
ยังอยู่ที่อุทัยธานี ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปพบกับครอบครัวของ สิบโท ปรีชา เสือบัว หัวหน้าชุดหมู่ปืนเล็ก หมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 ค่ายจิรประวัติ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกลูกกระสุนปืน ค. เข้าใส่จนบาดเจ็บที่ตาข้างซ้าย เหตุเกิดขึ้นที่บริเวณยอดภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ
โดยครอบครัวได้วิดีโอคอลไปหา สิบโท ปรีชาฯ เพื่อสอบถามอาการ ซึ่งทราบว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว โดย สิบโท ปรีชาฯ ได้พูดถึงวันเกิดเหตุว่า ขณะนั้นตนเองอยู่ที่บังเกอร์ แต่ได้ถอยตัวออกมาครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ลูกน้องเข้าไปหลบ
จังหวะนั้นกัมพูชาได้ยิงกระสุนเข้าถล่มทันที จนร่างของตนเองลอยกระเด็นออกไป และมารู้สึกตัวอีกทีก็ทราบว่าได้รับบาดเจ็บที่บริเวณตาข้างซ้าย
สิบโท ปรีชาฯ เชื่อว่าตนเองรอดตายมาได้เพราะพกของขลังอย่าง พระเครื่องหลวงพ่อเดิม และพระเครื่องหลวงพ่อยูร รวมถึง "หนังเสือ" ของวัดพนมเศษเหนือ จังหวัดนครสวรรค์ และยังมีหลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่นอก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งได้พกติดตัวตลอดเวลา โดยตอนนี้กำลังติดต่อต้นสังกัดเพื่อขอกลับไปรับใช้ชาติต่อ แต่ต้นสังกัดขอให้รักษาตัวให้หายก่อน
