ไม่กล้าทำมาหากิน หวั่นเขมรลอบโจมตีแล้วปะทะอีกรอบ

ไม่กล้าทำมาหากิน หวั่นเขมรลอบโจมตีแล้วปะทะอีกรอบ

View icon 152
วันที่ 19 ส.ค. 2568 | 08.54 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ร้านอาหารในหมู่บ้านแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่กล้าเปิดขาย หวั่นเขมรลอบโจมตีแล้วปะทะอีกรอบ เห็นด้วยที่ทหารล้อมรั้วแนวชายแดนป้องกันไม่ให้เขมรรุกล้ำอธิปไตยและลอบวางทุ่นระเบิด ด้านเจ้าของสวนยางที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ตกใส่ต้นยางเสียหายวอนรัฐเร่งเยียว

(19 ส.ค.68)  ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์  ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา  ที่เปิดร้านขายอาหารตามสั่ง   ก๋วยเตี๋ยว  และขนมหวาน เพื่อเลี้ยงครอบครัว  หลายคนที่กลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านหลังอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงนานกว่า 2 สัปดาห์  ยังไม่กล้าเปิดขาย   เกรงว่าหากซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหารขาย    แล้วเกิดการปะทะกันขึ้นของที่ซื้อไว้จะเน่าเสียประสบปัญหาขาดทุนซ้ำ    ทั้งเกรงว่าหากเปิดร้านแล้วเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นจะอพยพหนีไม่ทัน   ขณะที่บางคนก็เริ่มขนของย้ายไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัดแล้ว   จนกว่าจะมั่นใจเหตุการณ์เปิดปกติจึงจะกลับเข้ามาในหมู่บ้านเหมือนเดิม  

ขณะเกษตรกรเจ้าของสวนยางพาราที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝั่งกัมพูชาตกใส่ ต้นยางเสียหาย  ก็เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจ่ายเงินเยียวยา   เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน  เพราะนอกจากต้นยางพาราจะเสียหายแล้ว  ยังขาดรายได้ช่วงที่อพยพด้วย 

อย่างไรก็ตามพ่อค้าแม่ค้า  ชาวบ้าน ตามแนวชายแดน  ต่างเห็นด้วยกับฝ่ายทหาร  ที่มีการล้อมรั้วหีบเพลงกำหนดเขตอธิปไตยของไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแผ่นดินและอธิปไตยไทย  ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ซึ่งจะทำให้ทหารที่ออกลาดตระเวนและชาวบ้านที่เข้าไปกรีดยาง  เหยียบกับระเบิดอาจทำให้บาดเจ็บเสียชีวิต  

ด้านนายสากล   เมิดไธสง  ชาวบ้านในตำบลสายตะกู  บอกว่า   ตนและภรรยา มีอาชีพเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง และกรีดยาง เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว   แต่ช่วงที่มีการสู้รบต้องอพยพหนี   ก็ไม่ได้เปิดทั้งร้านขายของ และกรีดยาง   รายได้กลายเป็นศูนย์    แต่พอมีการเจรจาหยุดยิงก็กลับเข้ามาดูบ้าน  แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเปิดร้าน  เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน  ตอนนี้ก็ได้แต่เตรียมเสื้อผ้า ข้าวของจำเป็น และเต็มน้ำมันรถจักรยานยนต์พ่วงข้างเอาไว้   หากเกิดการปะทะขึ้นก็พร้อมจะพาลูกเมียอพยพหนีทันที   หากเป็นไปได้ก็อยากให้รัฐบาลเร่งหาทางยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น  เพื่อให้ชาวบ้านกลับมาใช้ชีวิตและหากินได้อย่างปกติเหมือนเดิม

ขณะที่เจ้าของสวนยางอีกคน   บอกว่า  ช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา  เมื่อช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค.68  มีกระสุนปืนใหญ่ตกใส่สวนยางพาราเสียหายหลายต้น  จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย   ทั้งช่วงที่อพยพหนีการสู้รบก็ยังขาดรายได้จากการกรีดยางขายอีกด้วย  ก็อยากให้ภาครัฐเร่งชดเชยเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย