วันนี้ (19 ส.ค. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานกรรมาธิการการทหาร พร้อมด้วย สส. ของภาคประชาชน เดินทางลงพื้นที่ หมู่บ้านทับทิมสยาม 07 ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรับฟังความเห็น และสถานการณ์ในพื้นที่ จากชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ ถือว่าเป็นหมู่บ้านแนวกันชน เพราะอยู่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด
โดย นางสายสมร พาบุตร ผู้ใหญ่บ้าน บอกว่า ชรบ. เป็นจิตอาสาที่ดูแลความมั่นคงตามแนวชายแดน ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีสวัสดิการ และไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะช่วงศึกสงคราม ยังมีหน้าที่อื่น คือการดูแลรักษาความปลอดภัยชาวบ้านที่อยู่ตามแนวชายแดนรวมถึงการปราบปรามยาเสพติด และเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ประชาชนต้อง ทิ้งบ้านเพื่อความปลอดภัย มีชรบ 15 นาย คอยเฝ้าระวังดูแล ทรัพย์สินให้กับประชาชน
ดังนั้น สิ่งที่ต้องการให้ ผู้นำฝ่ายค้าน นำกลับไปประสานกับรัฐบาล คือชุด ชรบ. ต้องการอาวุธปืนใหม่ที่มีความทันสมัย พร้อมเครื่องกระสุน เพราะปัจจุบันบางหมู่บ้านมี 20 -40 นัด ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดูแลประชาชน ที่สำคัญ ต้องมีไว้สำหรับระมัดระวังไม่ให้ชาวกัมพูชา บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องมีอาวุธ ปืนไว้ป้องกันตัว
นอกจากนี้ ยังต้องการให้ สนับสนุนค่าตอบแทน ให้ ชรบ. เพราะ ความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ซ้ำยังต้องทำงานหนัก ผลัดกันเฝ้าเวรยาม หากมีค่าตอบแทนให้ก็จะเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน ได้ทำหน้าที่ต่อ
โดยนายณัฐพงษ์ ยืนยันจะรับ เสียงสะท้อนและความต้องการของ ชรบ. ไปดำเนินการประสานกับรัฐบาล โดยเบื้องต้นจะรวบรวมข้อมูล เพื่อตั้งกระทู้ถามรัฐบาล ว่ามีแนวทาง อย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ พร้อมระบุว่านับถือน้ำใจของ ชรบ. ทุกคนที่เสียสละมาทำงานเพื่อประชาชนส่วนรวม ส่วนเรื่องเงินเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน รับปากว่าจะไปติดตาม และประสานกับรัฐบาลเพื่อเร่งรัดการเยียวยา ให้กับประชาชน เพราะแต่ละจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมีวิธีการจ่ายเงินที่แตกต่างกัน
ขณะที่นายวิโรจน์ เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบข่าวทราบว่ารัฐบาล เตรียมนำเรื่อง ค่าตอบแทนของ ชรบ. เข้าพิจารณา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว สำหรับ อาวุธปืนและเครื่องกระสุน ที่ร้องขอ เบื้องต้นในงบงบประมาณปี 2569 มีการอนุมัติงบให้กระทรวงมหาดไทย จัดซื้อ อาวุธปืนเครื่องกระสุนและเสื้อเกาะให้กับ ชรบ.แล้ว ก็ต้องรอติดตามว่าจะมีการจัดสรรให้อย่างไรบ้าง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา