Open World เปิดโลกรายวัน : สรุปข่าวรอบโลกประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2568
1.“ฮุน เซน” โต้ “ภูมิธรรม” กัมพูชาก็จับผู้นำไทยได้เช่นกัน
หลังจากที่วานนี้ (18 ส.ค.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติมอบให้ตำรวจภูธรภาค 3 รวบรวมหลักฐานฟ้องแพ่ง และอาญา โดยเน้นไปที่ผู้สั่งการ และผู้นำ ที่ใช้กำลังทหารและยุทโธปกรณ์มารุกรานอธิปไตยไทย พร้อมระบุว่า หาก "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร ก็จะดำเนินการจับกุมทันทีนั้น
ทาง "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ออกมาโพสต์ข้อความตอบโต้ ระบุว่า หากสื่อรายงานคำพูดของรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งใกล้จะหมดวาระ ได้อย่างถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ที่ขาดความยั้งคิด และขาดความเข้าใจในกฎหมายจารีตประเพณีและพิธีการทางการทูต ซึ่งหากไทยสามารถจับกุมผู้นำกัมพูชาได้ กัมพูชาก็สามารถจับกุมผู้นำไทยที่รุกรานและสังหารพลเมืองกัมพูชาได้เช่นกัน นี่เป็นความพยายามสร้างความไว้วางใจและมุ่งสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หรือเป็นการกระทำยั่วยุที่อาจจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง ?
2.“กัมพูชา” ขอ “ไทย” ส่งคืนทหารเขมร 18 นาย
ด้านพลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงสรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยยืนยันว่าภาพรวมยังสงบเรียบร้อย แต่กัมพูชายังคงเรียกร้องให้ฝ่ายไทยดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยส่งตัวทหารทั้ง 18 นาย กลับกัมพูชา หลังจากฝ่ายไทยจับกุมกองกำลังทหารกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายมานานกว่า 20 วันแล้ว แต่ไทยยังคงไม่ยินยอมที่จะส่งตัวคืนตามที่ครอบครัวและประชาคมโลกเรียกร้องให้ประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
กัมพูชายืนยันว่า กองกำลังกัมพูชาเคารพและยึดมั่นอย่างเคร่งครัดต่อการหยุดยิงที่บรรลุ และฉันทามติ 13 ประการ ในการประชุม GBC โดยกองทัพและประชาชนกัมพูชามีความมุ่งมั่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการปกป้องดินแดน ศักดิ์ศรี และอธิปไตยของตนเอง และเชื่อว่าการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบของทั้งสองฝ่ายจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการกลับคืนสู่ความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ ไม่เพียงชาวไทยและกัมพูชาเท่านั้นที่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โลกก็อยากเห็นสันติภาพเช่นกัน
3.“ทรัมป์” เผย ข้อตกลงหยุดยิง รัสเซีย-ยูเครน ยังไม่เกิดขึ้นทันที
หลังการประชุมระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และผู้นำกลุ่มสหภาพยุโรป, เลขาธิการนาโต และผู้นำชาติยุโรป อาทิ อังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ที่ทำเนียบขาว วานนี้ (18 ส.ค.)
ทาง “โดนัลด์ ทรัมป์” ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อตกลงหยุดยิงรัสเซีย-ยูเครน ในอนาคตอันใกล้ แต่อาจยังไม่เกิดขึ้นได้ในตอนนี้ ซึ่งทรัมป์เสนอให้มีการเจรจากันแบบทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กับประธานาธิบดียูเครน ในครั้งต่อไป โดยอาจมีเขาในฐานะตัวแทนสหรัฐฯ เข้าร่วมแบบไตรภาคี แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องบังคับให้รัสเซียมีการหยุดยิงอย่างเป็นทางการ เพราะความขัดแย้งหลายกรณี อาทิ ไทยกับกัมพูชา, ปากีสถานกับอินเดีย ก็ไม่ได้ยุติการสู้รบก่อนบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ส่วนเรื่องการรับประกันความปลอดภัยให้ยูเครนเป็นหน้าที่ของกลุ่มประเทศยุโรป แต่สหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนเต็มที่
ขณะที่ ประธานาธิบดีเซเลนสกีเผยว่า พร้อมเจรจากับประธานาธิบดีปูตินตามข้อเสนอ แต่ขอเวลา 10 วัน เพื่อเตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนถึงวันเวลาในการพบกันระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซีย
4.UN ประณามกลุ่มกบฏสังหารพลเรือน 52 คน ในคองโก
โฆษกคณะผู้แทนสหประชาชาติประจำคองโก ประณามกลุ่มกบฏกองกำลังประชาธิปไตยพันธมิตร (ADF) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ "ไอเอส" (ISIS) กรณีใช้มีดและจอบสังหารพลเรือนอย่างโหดร้าย ในเขตเบนีและลูเบโร ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
โดยกลุ่มกบฏ ADF ประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพคองโกและพันธมิตรยูกันดาในพื้นที่ดังกล่าว จึงก่อเหตุล้างแค้น ด้วยการสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างน้อย 52 คน ในช่วงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงถึง 8 คน และเด็ก 2 คน โดยปลุกชาวบ้าน แล้วมัดเชือกคุมตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วสังหารพวกเขาด้วยมีดและจอบ บางรายถูกเชือดคอตั้งแต่ในหมู่บ้าน และยังมีการวางเพลิงเผาบ้านหลายหลัง ทั้งนี้ กลุ่มกบฏ ADF เพิ่งก่อเหตุสังหารพลเรือนถึง 38 คน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
5.เพลิงไหม้บ่อน้ำมันเถื่อน เสียชีวิต 3 คน ที่อินโดนีเซีย
เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นบริเวณบ่อน้ำมันผิดกฎหมายในจังหวัดชวากลาง ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 ส.ค.) ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน บาดเจ็บอีก 2 คน และต้องอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่รอบบ่อน้ำมันอีกราว 750 คน ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวและอาคารรัฐบาลท้องถิ่น
โดยการขุดเจาะน้ำมันจากบ่อน้ำมันดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่ และทางการยืนยันว่าเป็นบ่อน้ำมันผิดกฎหมาย ขณะที่เพลิงที่ยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอินโดนีเซียยังคงประสบกับความยากลำบากในการควบคุมเพลิง ด้านหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งรถขุดดิน 4 คัน เข้าไปช่วยดับไฟด้วยดิน
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังพยายามเดินหน้าผลักดันให้การขุดบ่อน้ำมันที่ดำเนินการโดยชุมชนเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ด้วยการออกกฎระเบียบที่อนุญาตให้บริษัทขนาดเล็กร่วมมือกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อหวังเพิ่มการผลิตน้ำมันของประเทศ