ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 สั่งจำคุก 8 ปี ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และพวก คดีปลอมโฉนดที่ดินสระบุรี เจ้าตัวยื่นประกัน แต่ศาลสั่งให้ส่งศาลอุทธรณ์พิจารณา
วันนี้ (19 ส.ค.68) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 98/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท.84/2568 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 โจทก์ นายณรงค์พล จำเลยที่ 1 นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำเลยที่ 2 และ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3
คดีนี้โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ นายช่างรังวัด กรมที่ดิน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ผอ.ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดสระบุรี-ลพบุรี ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ทำโฉนดที่ดินปลอมเลขที่ 41925, 41926, 41339,41909, 41910, 41913, 41914, 41918, 41918, 41919, 41920 รวม 11 ฉบับ ในบริเวณที่เป็นพื้นที่ป่า ภูเขา ซึ่งโดยสภาพไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น โดยได้รับเงินจากพนักงานของจำเลยที่ 3 จำนวนทั้งสิ้น 1,050,000 บาท เป็นการตอบแทน และเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินนั้น
จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และนายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้มีอำนาจได้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจให้นายไวพจน์ และหรือนายสุนทร นำส่งเอกสาร รับเอกสารต่าง ๆ กรณีที่หัวหน้าสายตรวจปราบปรามการกระทำความผิดว่าด้วยการป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี) กรมป่าไม้ แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 นายไวพจน์ได้แสดงสำเนาโฉนดที่ดินทั้ง 11 ฉบับต่อพนักงานสอบสวน เหตุเกิดที่ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี และตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และแขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91, 151,268
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ทางไต่สวนได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ นายช่างรังวัด กรมที่ดิน ปฏิบัติหน้าที่เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดสระบุรี-ลพบุรี เมื่อปี 2557 คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ประกอบกิจการของจำเลยที่ 3 พบว่าประกอบกิจการนอกเขตที่ได้รับประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ จึงดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3 ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ, พ.ร.บ. แร่ พ.ศ. 2510 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 รวม 5 คดี เป็นผลให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 นำเอาหินแร่อุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดาน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์รวมจำนวนหลายสิบล้านเมตริกตันไปถมคืนพื้นที่เดิมที่จำเลยที่ 3 ทำเหมืองแร่โดยมิชอบ หากจำเลยที่ 3 ไม่ดำเนินการให้ชำระค่าเสียหายรวมทั้งสิ้นเป็นเงินหลายพันล้านบาท
ในระหว่างการตรวจสอบที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 กับนายประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ มอบอำนาจให้นายไวพจน์ และหรือนายสุนทร เป็นผู้นำส่งเอกสารต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายไวพจน์นำสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 41339, 41909, 41910, 41918, 41919, 41920, 41925, 41913, 41914, 41917 และ 41926 รวม 11 ฉบับ ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องเขตประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ของจำเลยที่ 3 ส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน โฉนดทั้ง 11 ฉบับดังกล่าวออกตามนโยบายการแปลงทรัพย์สินเป็นทุนของรัฐบาล
ซึ่งนายจักราวุธ ที่ปรึกษาในการสำรวจที่ดินของจำเลยที่ 3 ได้ขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการออกโฉนดที่ดินจากจำเลยที่ 2 โดยขั้นตอนในการขอเบิกเมื่อเริ่มดำเนินการขอเบิก 1,500,000 บาท เมื่อเข้ารังวัดขอเบิกอีก 1,500,000 บาท และเมื่อทยอยออกเอกสารสิทธิ์ประมาณการขอเบิกไว้ 6,000,000 บาท จำเลยที่ 2 พิจารณาแล้วอนุมัติให้นายจักราวุธเบิกเงินได้ตามที่เสนอ นายจักราวุธติดต่อประสานงานในการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้นำเอารูปแผนที่ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รังวัดของจำเลยที่ 3 เป็นผู้เขียนส่งมอบให้นายช่างรังวัดของกรมที่ดิน เขียนลงในแบบพิมพ์โฉนดที่ดิน โดยนายจักราวุธตกลงจะให้ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น 700,000 บาท ในการทำชุดแรกประมาณ 10 แปลง เมื่อขึ้นรูปแผนที่และลงรายละเอียดในแบบพิมพ์โฉนดที่ดินเสร็จสิ้นแล้วจะให้อีก 500,000 บาท
หากสามารถนำคู่ฉบับพร้อมสารบบส่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี สาขาแก่งคอยได้จะให้อีก 3,000,000 บาท นายช่างรังวัดของกรมที่ดินจึงนำเอาแบบพิมพ์โฉนดที่ดินที่ต้องส่งทำลายมาขูดลบรายละเอียดเดิมออก และปลอมลายมือชื่อในช่องผู้เขียน ผู้ทาน ผู้เขียนแผนที่และผู้ตรวจทานแผนที่ในโฉนดที่ดิน จากนั้นจึงได้ทยอยส่งมอบโฉนดที่ดินและรับเงินจากนายจักราวุธ
จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม แต่การที่นายไวพจน์อ้างสำเนาโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ส.ค.57 รวม 7 ฉบับ กับวันที่ 25 ก.ย.57 อีก 4 ฉบับนั้น เป็นการกระทำโดยมีเจตนาที่จะอ้างสิทธิในการใช้พื้นที่ประกอบกิจการของจำเลยที่ 3 ต่อพนักงานสอบสวนเนื่องจากถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคดีเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 จำเลยที่ 2 กับที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 266 มาตรา 83 พฤติการณ์แห่งคดีในการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการทำเหมืองแร่ของจำเลยที่ 3 อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งให้จำเลยที่ 3 นำเอาหินแร่อุตสาหกรรม ชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ รวมจำนวนหลายสิบล้านเมตริกตันไปถมคืนพื้นที่เดิมที่จำเลยที่ 3 ทำเหมืองแร่โดยมิชอบ หากจำเลยที่ 3 ไม่ดำเนินการให้ชำระค่าเสียหายรวมทั้งสิ้นเป็นเงินหลายพันล้านบาท อันเป็นผลสืบเนื่องจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก
จึงลงโทษจำเลยที่ 1-2 จำคุกคนละ 8 ปี และลงโทษจำเลยที่ 3 ปรับ 160,000 บาท ถ้าจำเลยที่ 3 ไม่ชำระค่าปรับให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
ต่อมาทนายความของนายประชัย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค1 เห็นควรส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาคำสั่งประกัน ทำให้เจ้าหน้ที่ราชทัณฑ์ต้องนำตัวนายประชัย จำเลยที่ 2 ไปควบคุมที่เรือนจำกลางสระบุรีไว้พลางก่อน เพื่อรอคำสั่งประกันจากศาลต่อไป ซึ่งอาจใช้เวลา 1-3 วัน