โฆษก ทบ. เผยพาคณะ IOT ดูให้เห็นกับตา กพช. จงใจใช้ทุ่นระเบิด

โฆษก ทบ. เผยพาคณะ IOT ดูให้เห็นกับตา กพช. จงใจใช้ทุ่นระเบิด

View icon 91
วันที่ 20 ส.ค. 2568 | 16.28 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
โฆษก ทบ. เผยพาคณะ IOT ดูให้เห็นกับตา กัมพูชาจงใจใช้ทุ่นระเบิด ลอบวางในพื้นที่ลาดตระเวนไม่ใช่บังเอิญ ส่วนข้ออ้างทหาร กพช. เสียมารยาทเพราะเมา จะมีใครเชื่อหรือไม่ เข้าข่ายยั่วยุ

วันนี้ (20 ส.ค.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังพาคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ( IOT ) ลงพื้นที่บ้านโนนมะยาง ช่องจุ๊ปตะโมก ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจะมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1. คณะ IOT จะเข้ามาสังเกตการณ์ว่าทั้งสองฝ่ายเป็นไปตามข้อตกลงการหยุดยิง 13 ข้อหรือไม่ โดยมุ่งเน้น 3 ข้อหลัก คือ 1. การหยุดใช้อาวุธ โดยฝ่ายไทยพยายามที่จะแสดงหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้คณะ IOT เห็นว่ากัมพูชามีการใช้อาวุธ โดยเฉพาะทุ่นระเบิด ซึ่งได้พาคณะ IOT ไปเห็นในพื้นที่จริง  คือจุดเกิดเหตุ และอธิบายให้ฟัง ซึ่งทุ่นระเบิดเหล่านี้จะสอดคล้องกับยุทธวิธีทางทหาร และการใช้อาวุธ

พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า หลังการประชุม GBC วันที่ 7 ส.ค.68 กัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิดถึง 2 ครั้ง ในวันนี้ได้พาไปดูในจุดที่มีการใช้ทุ่นระเบิดครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นลักษณะการลักลอบวางในพื้นที่ทหารลาดตระเวนเป็นประจำ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นการบังเอิญ โดยประเด็นนี้คณะ IOT ได้รับทราบ และจะทำรายงานของคณะต่อไป

ส่วนข้อที่ 2  คือยังมีการใช้โดรนในรูปแบบต่าง ๆ บินล้ำแดนเข้ามาในฝั่งไทย โดยเรื่องนี้คณะ IOT มีข้อมูลแล้ว และข้อที่ 3 คือที่มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และการเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน ยกตัวอย่าง เมื่อเห็นคลิปที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ในทันทีกัมพูชาจะไม่มีการตรวจสอบอะไร จะตอบปฏิเสธมาทันมี โดยอ้างว่าเป็นเฟกนิวส์บ้าง ตนมองว่าคณะ IOT จะเข้าใจ และไม่มีคำถามใด ๆ กับฝั่งไทย จึงถือเป็นสัญญาณในทางบวก และโดยเฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน จะทำให้เกิดผลต่อเนื่อง ประชาชนคนไทยรู้สึกไม่ดี เพราะไม่เคยเจอระบบการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นลักษณะมั่ว และไม่มีหลักเกณฑ์ยึดถือ

พล.ต.วินธัย กล่าวด้วยว่า ส่วนกองทัพบกได้ให้คณะ IOT ได้ดูการใช้ทุ่นระเบิด และได้พาคณะ IOT ไปดูสถานที่จริงที่กัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักโจมตีสถานที่ของพลเรือนอย่างโรงพยาบาลพนมดงรักเสริมด้วย ซึ่งคณะ IOT ได้เข้ามาในพื้นที่จะเห็นรูปแบบและกระบวนการที่เกิดขึ้นในที่เกิดเหตุ ว่า เกิดอะไรขึ้นที่โรงพยาบาล และทางโรงพยาบาลแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลในวันนั้นถือว่าดี เพราะมีการอพยพผู้ป่วยหนักออกไปโรงพยาบาลอื่นก่อน และอพยพผู้ป่วยที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ไปหลุมหลบภัยจึงถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

คณะ IOT ได้ชื่นชมโรงพยาบาลพนมดงรัก ในเรื่องของการเตรียมความพร้อมเพราะช่วงเช้ามีการใช้อาวุธเล็ก แต่โรงพยาบาลก็สั่งให้อพยพผู้ป่วยในทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อ IOT ดูแล้วจะเป็นผลบวกกับฝั่งไทยหรือไม่ พล.ต.วินธัย เผยว่า ในที่ประชุมมีการพูดว่าฝ่ายไทยอยู่ในกรอบกติกาที่เป็นมาตรฐานสากล และมีลักษณะชื่นชม แต่ไม่ได้เสียมารยาทไปพูดถึงคนอื่น ฝั่งไทยที่นั่งอยู่ในที่ประชุมก็รู้สึกดี ที่คณะ IOT ชุดนี้มีความเข้าใจสถานการณ์ และติดตามสถานการณ์มาก่อน จึงรู้ข้อมูล

ทั้งนี้สำหรับการใช้ทุ่นระเบิดคนที่เป็นทหารจะมองออก และเข้าใจ แต่เมื่อมีการปฏิเสธที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีจากคณะ IOT ที่เข้ามาสังเกตการณ์ แต่ในที่ประชุมก็ไม่ได้มีการแสดงออกอย่างชัดเจน

ส่วนกรณีที่ในที่ประชุมที่มีการรายงานว่า กัมพูชาได้ประสานเข้ามาติดต่อบอกว่าทหารกัมพูชาที่โวยวายนั้นเป็นคนเมา พล.ต.วินธัย บอกว่า พื้นที่จุดนั้นเป็นพื้นที่ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายลาดตระเวนได้ แต่ไม่สามารถติดอาวุธได้ อย่างตอนที่กัมพูชาพาคณะ IOT เข้ามา ฝั่งไทยก็เข้าไปดูและตำหนิว่าไม่ได้แจ้งทางการไทย แต่ไม่ได้แสดงท่าทีที่ไม่พอใจ หรือเสียมารยาทแบบนี้ แต่เมื่อฝั่งไทยนำคณะ IOT เข้าไป รวมถึงสื่อมวลชนก็ทำให้สังคมโลกได้เห็น ซึ่งทำให้เห็นว่ากัมพูชานั้นไม่ได้อยู่ในกรอบมาตรฐานที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับไทย ซึ่งได้มีการแจ้งเข้ามาเป็นการภายใน

“ที่พูดว่า ทหารมีอาการลักษณะนั้นเพราะว่าเมา แต่ไม่รู้ว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ อาจมีการทำหนังสือประท้วงไปว่าเป็นการยั่วยุ  เพราะที่ผ่านมาไทยทำตั้งแต่ก่อนสถานการณ์ และเกิดสถานการณ์ รวมถึงปัจจุบันนี้”

พล.ต.วินธัย กล่าวถึงประเด็นที่ทหารเรือเจอโทรศัพท์มือถือและคลิปภาพการวางทุนระเบิด และทางฝั่งกัมพูชาก็ออกมาปฏิเสธ ว่าเป็นฝั่งไทยสวมชุดทหารกัมพูชาเพื่อสร้างเฟกนิวส์ ว่า ตนก็ไม่เคยเห็นว่ากัมพูชาจะยอมรับอะไรเลย กัมพูชาก็เชื่อว่าตัวเองใช้ทุ่นระเบิดเยอะ จึงพูดดักทางเอาไว้ เพราะเห็นว่าสื่อมวลชนไทยเก็บรายละเอียดหลักฐานได้ดี ทำให้กัมพูชา ต้องพูดดักทางไว้ว่าเป็นเฟกนิวส์ ที่ผ่านมากัมพูชาก็บอกว่าไทยชอบทำข่าวปลอม และพูดว่าไทยซื้อเสื้อผ้าจากตลาดโรงเกลือมาใส่ ซึ่งเป็นการพูดก่อนที่จะเจอคลิปหลักฐานเหล่านี้ ทำให้เห็นได้ว่าเป็นเทคนิคของการสื่อสารของกัมพูชา ซึ่งกองทัพบกมองจากสิ่งที่เห็นจริง ๆ

ส่วนคลิปในโทรศัพท์มือถือยังอยู่ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบของทางการข่าว จึงยังไม่มีรายละเอียดมากนัก กรณีการเจอคลิปต่าง ๆ ต้องรอใช้ประโยชน์จากตรงนี้ แต่ยืนยันว่าถ้าดูจากภาพและเสียงอารมณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิป ไม่ได้เป็นการสร้างขึ้นมา ยืนยันไม่ใช่คนสุรินทร์ เพราะสำเนียงการพูดก็จะรู้ ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามพูดตลอดว่าไทยวางทุ่นระเบิดให้ฝ่ายเดียวกันบาดเจ็บ ซึ่งตรรกะนี้ไม่มีในโลก รวมถึงกล่าวหาว่าฝั่งไทยเอาเชลยศึกไปทำเป็นคลิป ย้ำว่าไทยเองดูแลเชลยศึกตามหลักมนุษยธรรม และเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และได้เปิดโอกาสให้กลไกระหว่างประเทศดำเนินการตรวจสอบตลอด

ขณะที่ด้านคณะ IOT ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ว่าไม่ได้มีข้อกังวลเรื่องเชลยศึกที่ไทย เพราะไทยอยู่ในกติกาสากล คือไทยเป็นสุภาพบุรุษและคณะ IOT ล่าสุดก็ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกด้วยเช่นกัน