กต.แถลงย้ำคลิป “ทหารเขมร” ลอบวางระเบิด จะเป็นหลักฐานชั้นดีฟ้องภาคีออตตาวา

กต.แถลงย้ำคลิป “ทหารเขมร” ลอบวางระเบิด จะเป็นหลักฐานชั้นดีฟ้องภาคีออตตาวา

View icon 253
วันที่ 20 ส.ค. 2568 | 19.01 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงย้ำ คลิป “ทหารเขมร” ลอบวางระเบิดในดินแดนอธิปไตยของไทย จะเป็นหลักฐานชั้นดีในการฟ้องภาคีออตตาวา ขอคนไทยมั่นใจ

วันนี้ (20 ส.ค. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ว่า การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียน (Interim observer Team: IOT) ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้าย คณะได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะประกอบไปด้วยผู้ช่วยทูตทหารจาก 8 ประเทศได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งทางกองทัพไทยได้จัดกำหนดการครอบคลุม เพื่อให้คณะได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา และการขัดขวางการปฎิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ

โดยในห้วง 3 วัน คณะ IOT ได้สังเกตการณ์ ได้ชมการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม และเมื่อช่วงเช้านี้ ยังได้เดินทางไปตรวจที่สถานที่ควบคุมตัวทหารกัมพูชา 18 นาย รวมถึงสำรวจโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่ได้รับผลกระทบการโจมตีไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชา สำหรับการลงพื้นที่บริเวณช่องอานม้า ทราบว่า มีเหตุการณ์ทหารกัมพูชาพยายามขัดขวางการสังเกตการณ์ของคณะ IOT และสื่อมวลชน

ทางนายนิกรเดช กล่าวว่า ฝ่ายไทยขอแสดงความผิดหวังอย่างยิ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความไม่ถึงใจในการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ฝ่ายไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้จะทำให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้เห็นหลักฐานด้วยตาตัวเอง ที่ไม่มีการจัดฉาก แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและความจริงใจของฝ่ายไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ต่างจากฝ่ายกัมพูชาที่พยายามจัดฉากเหตุการณ์และปล่อยข่าวบิดเบือนออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเรื่องการดำเนินการในกลไก ทวิภาคี ประเทศไทยยืนยันว่าแก้ไขปัญหากับกัมพูชาโดยสันติผ่านกลไก RBC , GBC และ JBC ล่าสุดเมื่อวันที่ 15-16 ส.ค. ที่ผ่านมา กองบัญชาการป้องกันชายแดนจังหวัดจันทบุรีและตราดของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 3 ของกัมพูชา ได้จัดประชุม RBC สมัยวิสามัญที่จังหวัดตราด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชายังคงไม่ตอบรับที่จะหารือ 2 ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายไทย คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปราม “อาชญากรรมออนไลน์” อย่างไรก็ดี ไทยคงพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุมกรอบ RBC และ GBC ซึ่งประเทศไทยยังคงผลักดันการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนอย่างต่อเนื่อง หวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจและสุจริตใจเช่นเดียวกัน

ขณะที่กรอบพหุภาคีเรื่องการวางระเบิดของกัมพูชา ทางรัฐบาลไทยก็ทำเต็มที่และทำอย่างต่อเนื่องโดยตลอด โดยมีหนังสือถึงประธานการประชุมภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 ทั้งสิ้น 4 ฉบับ นับตั้งแต่ทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิด และ เอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ก็ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาต่อคณะกรรมการแล้ว โดยจะเข้าพบกับคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 22 ส.ค. เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและหลักฐานเพิ่มเติมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดพันธะกรณีและแสดงความรับผิดชอบในฐานะภาคีอนุสัญญา

การที่กองทัพออกมาเผยแพร่คลิป ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะเป็นหลักฐานของกัมพูชาได้อย่างดี ในกรอบอนุสัญญาออตตาวา ที่กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอยู่เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและหลักฐานเพิ่มเติมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ประเทศไทยเห็นว่าความมุ่งมั่นในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในอดีตที่กัมพูชากล่าวอ้าง ไม่ได้เป็นเครื่องประกันว่า กัมพูชาจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเอกในปัจจุบันและอนาคต เห็นได้จากพฤติการณ์และหลักฐานที่ชัดเจนในการลักลอบเข้ามาวางระเบิดในแผ่นดินไทย แสดงถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง

ทางนายนิกรเดช ย้ำว่า การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา รวมถึงกรณีพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ยังคงเห็นการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและการนำเสนอข่าวปลอมของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด  ตัวอย่างล่าสุดในเรื่องนี้คือกล่าวหาว่าฝ่ายไทยวางลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งกองทัพบกได้ออกมาชี้แจงและกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ออกแถลงการณ์ในเรื่องนี้ด้วย

ทั้งนี้ นายนิกรเดช ย้ำอีกรอบว่า พื้นที่บ้านหนองจาน ประเทศไทย เคยเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไปถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ประเทศไทยอดกลั้นอย่างสูงสุด จึงขอร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อเท็จจริงพร้อมแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดโดยสันติวิธี การที่ย้ำมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งดังกล่าว ฝังรากลึกลงในจิตใจของประชาชนของทั้งสองฝ่าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง